เมื่อพืช 5 แฉกถูกปลดล็อคเสรี อนาคตเศรษฐกิจประเทศไทยจะก้าวไกลหรือคนรุ่นใหม่จะถูกมอมเมา

788
0
Share:


ในนาทีนี้จะมีพืชชนิดไหนเติบโตไวได้เท่าต้นกัญชาอีกหรือไม่? เพียงแค่ข้ามคืนหลังกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศปลดล็อกพืชกัญชา-กัญชง ออกจากยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 อยู่ๆ ยอดปลูกกัญชาก็สูงชะลูดเลยขอบรั้วกันเลยทีเดียว

ถ้ามองในมิติทางเศรษฐกิจ ‘กัญชา’ ถือเป็นเรื่องที่มีความน่าสนใจไม่น้อยสำหรับประเทศไทย ในการจะนำพืชชนิดนี้มาเป็นตัวช่วยผลักดันเศรษฐกิจ ทั้งด้านการนำไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์หรือใช้ในทางการแพทย์ โดยปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้อนุมัติตำรับสารสกัดจากกัญชาทั้งแผนไทยและแผนปัจจุบันไปแล้วกว่า 50 ตำรับ นอกจากนี้ยังมีการอนุญาตผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีส่วนประกอบของกัญชา กัญชง และสารสกัด CBD เช่น เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยาสมุนไพร อีกด้วย

ทั้งนี้ในแง่ของมูลค่าส่วนแบ่งการตลาดภายในประเทศระยะสั้น ได้มีการประเมินว่ากัญชาจะช่วยสร้างมูลค่าเศรษฐกิจได้ถึง 7,000-8,000 ล้านบาท และสำหรับตลาดนอกประเทศก็ถือว่ามูลค่าชวนให้ตาลุกวาวกันเลยทีเดียว ซึ่งตามรายงานของ The Global Cannabis Report ที่จัดทำโดย Prohibition Partners ระบุว่า ตลาดกัญชาทั่วโลกขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 จะมีมูลค่าถึง 103.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 3.53 ล้านล้านบาท แยกเป็นตลาดกัญชาเพื่อการแพทย์ 60% และกัญชาเพื่อการสันทนาการอีก 40%

ภายหลังจากที่ประเทศไทยได้เปิดเสรีกัญชา ด้วยพื้นฐานนิสัยของคนไทยเป็นคนที่มีนิสัยค่อนข้างอิสระ ช่วงแรกของการนำกัญชามาใช้อาจจะยังไม่ได้เคร่งครัดรัดกุมตามคำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเท่าที่ควร เห็นได้จากการนำเสนอข่าวรายวันว่ามีผู้รับประทานอาหารที่มีกัญชาเป็นส่วนผสมเกินขนาดถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล เนื่องจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ สู่การนำไปใช้ผิดวิธี หรือใช้ในปริมาณที่เกินกำหนด ซึ่งนี่ถือเป็นความอันตรายที่รัฐไม่ควรมองข้าม และควรให้ความรู้ที่แน่ชัดกับประชาชนทั่วไปที่ต้องการใช้มากกว่านี้

แต่หากพูดตามความจริงคนไทยรู้จักพืชชนิดนี้มาอย่างยาวนาน เพียงแต่มีประสบการณ์ร่วมหรือการรับรู้ที่ยังไม่มากพอ มีเพียงกลุ่มคนเล็กๆ ที่ให้ความสนใจเท่านั้นที่จะค้นคว้าศึกษาข้อมูลอย่างลึกซึ้ง และให้ความสำคัญในการนำมาใช้ในปริมาณที่เหมาะสม แต่สำหรับมือใหม่หรือกลุ่มคนที่ยังรู้จักพืช 5 แฉกไม่ดีพอ อาจเกิดปัญหาตามมาได้ อาทิ อยากลองรับประทานแต่ไม่รู้ว่ามีอาการแพ้หรือไม่ หรืออาจเป็นคนที่ออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านและบังเอิญมีเมนูอาหารที่มีใบกันชาเป็นส่วนผสม แต่ทางร้านอาหารไม่ได้แจ้ง เนื่องจากคิดว่าการใส่ใบกัญชาสามารถใส่ในอาหารได้เป็นปกติ อีกทั้งช่วยให้รสชาติอาหารมีความอูมามิขึ้น แต่สำหรับคนที่แพ้หรือไม่เคยได้รับสารชนิดนี้ รวมถึงเด็กหรือสตรีมีครรภ์ที่ถือเป็นกลุ่มที่ตกอยู่ในความเสี่ยง และไม่ควรบริโภคกัญชา แต่กลับเลือกไม่ได้ ดังนั้นร้านที่นำกัญชามาประกอบอาหาร ควรมีดอกจันแจ้งชัดเจน เพื่อป้องกันปัญหาร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต อย่างไรแล้วก็อย่าให้ถึงขั้นต้องระแวงและงดรับประทานอาหารนอกบ้านกันเลย

วกกลับมาถึงกลุ่มเยาวชน ที่สร้างความกังวลใจไม่ต่างกันว่าจะมีหน่วยงานไหน กฎระเบียบใด เข้ามาช่วยควบคุมดูแลหรือสร้างความรู้ความเข้าใจให้เหล่าอนาคตของชาติกลุ่มนี้ไม่หลงไปใช้อย่างผิดวิธี เพราะหากควบคุมไม่ได้จากเสียงเฮอาจกลายเป็นเสียงโฮแห่งความโศกเศร้าเป็นแน่

ก็หวังว่าการเปิดเสรีของกัญชาในครั้งจะไปในทิศทางที่ดีในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้ แต่ก็อย่าลืมว่าเหรียญมี 2 ด้านเสมอ เพียงแค่เราจะเลือกใช้ฝั่งไหน เพราะกัญชาใช้ถูกวิธีเป็นยา แต่หากใช่ผิดวิธีก็สามารถเปลี่ยนชีวิตได้เลย

อย่างไรแล้วก็อยากให้ศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนนำมาใช้ ด้วยความห่วงใยจากใจทีมงาน BTimes

BTimes