มหากาพย์ดราม่า! ยุติการรับบริจาคโมเดอร์นาจากประเทศโปแลนด์

1143
0
Share:

มหากาพย์ดราม่า! ยุติการรับบริจาค โมเดอร์นา จากประเทศโปแลนด์

กลายเป็นดราม่าสั่นสะเทือนไปทั้งโลกโซเซียล เมื่อดีลที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ได้เจรจาขอรับวัคซีนบริจาคจากประเทศโปแลนด์ จำนวน 1.5 ล้านโดส ได้ยุติลงและไม่สามารถนำเข้าวัคซีนได้ อันมีสาเหตุมาจากการที่กระทรวงการต่างประเทศ ไม่ทำหนังสือยืนยันตัวตนในการขอรับบริจาควัคซีนโมเดอร์นา ซึ่งยังมีอายุการใช้งานได้ถึงเดือนเมษายน 2565

หากย้อนไปยังจุดเริ่มต้น เริ่มมาจากการที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ได้รับบริจาควัคซีนป้องกันโควิด-19 อย่างโมเดอร์นา จากความร่วมมือขององค์กร Rzadowa Agencia Rezerw Strategicznych (RARS) จำนวน 3 ล้านโดส โดยภายหลังได้เปลี่ยนเป็น 1.5 ล้านโดส ซึ่งมีกำหนดส่งมอบช่วงปลายเดือนตุลาคม

ต่อมามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ขอความอนุเคราะห์ให้กระทรวงการต่างประเทศมอบหมายให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอร์ซอ ช่วยอำนวยความสะดวกในการตรวจสอบวัคซีน และร่วมกับหน่วยงานภาครัฐของโปแลนด์ในการจัดส่งวัคซีนดังกล่าวมายังประเทศไทย พร้อมให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอร์ซอ เป็นตัวแทนขอบคุณหน่วยงานภาครัฐของโปแลนด์ในการบริจาควัคซีน

แต่เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 กระทรวงการต่างประเทศได้ส่งเอกสารถึงอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กรณีการบริจาควัคซีนโมเดอร์นาจากโปแลนด์ ระบุว่า ไม่ใช่การบริจาคในลักษณะรัฐต่อรัฐ กระทรวงการต่างประเทศไม่ได้รับแจ้งเรื่องการบริจาควัคซีนผ่านช่องทางการทูตอย่างเป็นทางการจากกระทรวงต่างประเทศโปแลนด์ หรือสถานเอกอัครราชทูตโปแลนด์ประจำประเทศไทย ทำให้แผนดังกล่าวต้องชะลอไป เนื่องจากต้องประสานงานไปผู้ผลิตวัคซีนโมเดอร์นาและผู้บริจาคเพิ่มเติม หลังจากได้รับคำแนะนำจากกระทรวงการต่างประเทศ

หลังจากที่ข่าวนี้แพร่ออกไปทำให้ประชาชนต่างจับตามองเกี่ยวกับวัคซีนบริจาค ว่าประเทศไทยจะได้รับการบริจาคจากประเทศโปแลนด์หรือไม่ จนเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมาโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ ได้เปิดเผยผ่านเพจโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ แจ้งความคืบหน้าการติดต่อขอรับบริจาควัคซีนโควิด-19 วัคซีนโมเดอร์นา จากรัฐบาลโปแลนด์ จำนวน 3 ล้านโดส แต่ติดขัดเรื่องเอกสารสำคัญที่กระทรวงการต่างประเทศของไทยไม่ออกให้ ทำให้ล่าสุดรัฐบาลโปแลนด์ยุติการบริจาควัคซีนโมเดอร์นาให้โรงพยาบาลธรรมศาสตร์แล้ว หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางต่อกระทรวงการต่างประเทศ และตั้งคำถามกลับไปว่าทำไมถึงติดขัดเรื่องเอกสารได้ ทั้งที่วัคซีนคือสิ่งจำเป็นต่อสถานการณ์โรคระบาดที่เกิดขึ้น ณ ขณะนี้ต่

อมาในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2564 ทางด้านกระทรวงการต่างประเทศได้ออกมาตอบโต้ทางโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ มีใจความโดยสรุปคือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แจ้งกระทรวงการต่างประเทศว่า ในการรับบริจาควัคซีนจากโปแลนด์ครั้งนี้ มีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จึงจะรับวัคซีนจำนวน 1 ใน 3 ของวัคซีนที่ได้รับบริจาคไว้เอง เพื่อให้บริการประชาชนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และจะมอบวัคซีนที่ได้รับบริจาคมาอีก 2 ใน 3 ให้เอกชนที่เป็นหุ้นส่วน เพื่อนำไปจำหน่ายให้ผู้สนใจ เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศเกรงว่าจะเกิดความเสียหายแก่ประเทศ ขัดต่อเจตนาของทางโปแลนด์ จึงไม่ยอมออกจดหมายรับรองการขอรับบริจาคให้แก่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์

ในวันเดียวกันทางโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ก็ได้แถลงโต้กระทรวงการต่างประเทศในประเด็นจำหน่ายวัคซีนโดยสรุปว่าที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศไม่เคยแจ้งให้ทราบมาก่อนในประเด็นเรื่อง ‘การค้าวัคซีน’ ทั้งด้วยวาจาผ่านตัวแทนที่ได้รับมอบหมายให้ดีลกับธรรมศาสตร์ และไม่เคยสอบถามรายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับ ’การค้าวัคซีน’ นี้มายังธรรมศาสตร์เลย

ทั้งยังไม่เคยแจ้งว่าเกรงจะทำให้กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพราะหากเรื่องนี้เป็นเงื่อนไขหลักในการออกหนังสือรับรองไปยังโปแลนด์ ธรรมศาสตร์อาจจะหาทางขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง หรือมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับงบประมาณและการเงินให้ช่วยรับภาระในค่าใช้จ่ายส่วนนี้ ซึ่งมีจำนวนไม่มากเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในเรื่องวัคซีนที่ประเทศไทยได้จ่ายไปหลายหมื่นล้านบาทแล้วในปัจจุบัน เพื่อออกใช้แทนเอกชนไป และเพื่อให้ได้วัคซีนที่ได้รับการยอมรับว่ามีคุณภาพ นำเข้ามาฉีดให้กับประชาชนอย่างกว้างขวางแล้วก็ได้ โดยระบุเพิ่มเติมว่าเมื่อได้คำนวณค่าใช้จ่ายแล้ว จะตกอยู่ที่ราคาโดสละ 400 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคา 1,100 บาท ที่เป็นราคาต้นทุนวัคซีนที่หน่วยงานภาครัฐที่นำวัคซีนชนิดนี้เข้ามาในประเทศเรียกเก็บจากสถานพยาบาลต่างๆ อยู่เป็นอย่างมาก

สุดท้ายทางโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ได้ชี้แจงว่า ในวันนี้ได้เรียนรู้บ้างแล้ว และจะยกเลิกความพยายามในการติดต่อขอรับบริจาควัคซีนในอีกหลายกรณีที่ได้ติดต่อประสานงานไว้แล้ว ถ้าพวกเราจะพยายามทำเรื่องนี้ต่อไปให้สำเร็จ คงจะเป็นการติดต่อเพื่อซื้อวัคซีนเข้ามาโดยตรงเพียงช่องทางเดียวเท่านั้น

หลังจากต่อความยาวสาวความยืดกันมาอย่างยาวนาน ประชาชนหลายคนต่างก็บอกว่าไม่รู้หรอกว่าใครผิดหรือใครถูก แต่การที่ประเทศเสียโอกาสในการรับวัคซีนบริจาค คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ ‘ประชาชน’ เพราะ 1.5 ล้านโดสเท่ากับประชาชน 7.5 แสนคน อย่างไรก็ตามอยากฝากไว้ให้หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้โปรดคิดสักนิดว่าชีวิตประชาชนไม่ใช่ของเล่น

BTimes