จับตา “ซามาเนีย พลาซ่า” ยักษ์ทุนจีนบุกค้าปลีก-ส่งไทย ดำเนินธุรกิจถูกต้อง แต่อาจไม่ถูกใจอีคอมเมิร์ซไทย โดนถล่มแย่งตลาด ดีต่อไทยแน่นะ?

1943
0
Share:

จับตา “ซามาเนีย พลาซ่า” ยักษ์ทุนจีนบุกค้าปลีก-ส่งไทย ดำเนินธุรกิจถูกต้อง แต่อาจไม่ถูกใจอีคอมเมิร์ซไทย โดนถล่มแย่งตลาด ดีต่อไทยแน่นะ?

ช่วงหลายวันที่ผ่านมาเชื่อว่าหลายคนน่าจะพอคุ้นหูกับ “ซามาเนีย พลาซ่า” ห้างค้าปลีก-ค้าส่งรายใหญ่สัญชาติจีนที่มาพร้อมกับเงินลงทุนมหาศาล ล่าสุดก็ได้เปิดตัว “ซามาเนีย พลาซ่า” ไปแล้ว นับเป็นโครงการค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยพื้นที่ 200 ไร่ หรือประมาณ 3.30 แสนตารางเมตร ซึ่งโครงการจะตั้งอยู่บนถนนบางนา-ตราด กม.26 ฝั่งขาเข้ากรุงเทพฯ ปัจจุบันโครงการได้ทยอยเปิดให้บริการเฟส 1 พื้นที่กว่า 5 หมื่นตารางเมตร มี 4 อาคาร แบ่งเป็นร้านขายสินค้ามากกว่า 500 ร้านค้า และร้านค้าโซนบริการ 100 ร้านค้า

มีสินค้าที่นำเข้ามาจากประเทศจีนโดยเฉพาะ ทั้งของใช้ในบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ทำครัว เฟอร์นิเจอร์ และอุปกรณ์เครื่องมือช่าง เป็นต้น โดยมีแผนที่จะขยายโครงการในส่วนของโรงแรม อาคารสำนักงานและคอนโดมิเนียม เพื่อดำเนินการโครงการอย่างครบวงจรในเฟสต่อไปด้วย

ดังนั้นจึงเป็นที่จับตาว่าธุรกิจทุนจีนรายใหญ่บิ๊กเบิ้มขนาดนี้ เข้ามาลงทุนอย่างไร จะเป็นทุนจีนสีเทาเหมือนที่เป็นข่าวกันอยู่ตอนนี้ หรือจะเข้ามาฉกฉวยอะไรจากธุรกิจในไทยหรือไม่?

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ซามาเนีย เข้ามาจัดตั้งบริษัทในไทยด้วยทุนจดทะเบียน 2,000 ล้านบาท จดทะเบียนนิติบุคคลในนาม บริษัท ซามาเนีย บางนา เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2558 และจัดตั้ง บริษัท ซามาเนีย โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2558 ด้วยทุนจดทะเบียน 1,023 ล้านบาท รวมทั้ง บริษัท ซามาเนีย บางนา 02 จำกัด ทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท เมื่อ 2 พ.ย. 2559 อีกด้วย

รายงานจาก วิจัยกรุงศรี ธนาคารกรุงศรีอยุธยาระบุว่า ภาพรวมธุรกิจค้าปลีกค้าส่งของไทย มีมูลค่ากว่า 2.7 ล้านล้านบาท โดยหากประเมินการมาของค้าปลีกยักษ์ใหญ่จากจีนในครั้งนี้ คาดว่าจะสร้างแรงกระเพื่อมครั้งสำคัญต่อธุรกิจค้าปลีกค้าส่งของไทย เนื่องจากเป็นการนำเข้าสินค้าจำหน่ายโดยตรง จึงมีข้อได้เปรียบที่มีต้นทุนต่ำกว่าผู้ประกอบการไทย ขณะเดียวกันจะสร้างผลกระทบครั้งใหญ่ให้แก่ตลาดค้าส่งค้าปลีกของไทย

ก่อนหน้านี้ก็มีกระแสดรามาบนโซเชียลมีเดียว่าการมาของซามาเนียดูน่าสงสัย ตัดโอกาสพ่อค้าแม่ค้าคนไทย และเป็นข้อถกเถียงในแวดวงธุรกิจ หลังผู้นำเข้าสินค้าจากจีนยื่นขอให้มีการตรวจสอบและติดตามการดำเนินธุรกิจของกลุ่มซามาเนียว่าอาจไม่ชอบตามกฎหมาย เพราะเกรงว่าจะกระทบกับธุรกิจและเอกชนไทย หรือจะเป็นทุนสีเทาเหมือนกับที่กำลังเป็นประเด็นใหญ่โตตอนนี้หรือไม่ จนนายกฯ ต้องออกมาสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ มหาดไทย

โดยนายจิตรกร ว่องเขตกร รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ชี้แจงว่า “โครงการซามาเนีย พลาซ่า” จากการตรวจสอบการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ พบว่ามีนิติบุคคลที่เกี่ยวข้อง 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท ซามาเนีย บางนา 02 จำกัด บริษัท ซามาเนีย บางนา จำกัด และบริษัท ซามาเนีย โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งทั้ง 3 บริษัทมีสถานะเป็นนิติบุคคลไทย โดยมีนายเฉือก ฟ้ง อ้อ ซึ่งมีชื่อเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นของนิติบุคคล 3 รายที่เกี่ยวข้องนั้น มีสัญชาติไทย โดยมีมารดาเป็นคนไทย บริษัททั้ง 3 รายดังกล่าวจึงไม่มีสถานะเป็นคนต่างด้าวตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ซึ่งยืนยันว่าในการพิจารณาให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนจะคำนึงถึงผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศเป็นหลัก รวมถึงผู้ประกอบการไทยต้องได้รับประโยชน์ด้วยเช่นกัน ไม่มีการเอื้อประโยชน์ให้ชาติหนึ่งชาติใดเป็นพิเศษ นักลงทุนจากทุกประเทศต้องปฏิบัติตามกฎหมายและเงื่อนไขการลงทุนที่กำหนดไว้

“เมื่อมีสถานะเป็นนิติบุคคลไทย เป็นบริษัทคนไทย ก็สามารถที่จะทำธุรกิจในประเทศไทยได้ทุกอย่าง ไม่ได้มีข้อจำกัดอะไร การทำธุรกิจ ก็สามารถที่จะทำได้ตามปกติ ไม่ต้องมีการขออนุญาต ไม่เหมือนกับกรณีของคนต่างด้าวที่จะเข้ามาทำธุรกิจในบัญชีแนบท้าย 3 ของ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จะต้องยื่นขออนุญาตจากคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวก่อน” นายจิตรกร กล่าว

ปัจจุบัน ซามาเนีย มีโปรเจกต์ที่ดำเนินการรวม 7 ประเทศ ทั้งไทย เมียนมา กัมพูชา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ และออสเตรเลีย โดยประเทศเมียนมา มีขนาดพื้นที่ 3 แสนตารางเมตร ทยอยเปิดโครงการที่ย่างกุ้ง ช่วงปี 2563 ประเทศกัมพูชา เมืองพนมเปญ ขนาดพื้นที่ 5 แสนตารางเมตร เป็นโปรเจกต์ที่ใหญ่สุด เริ่มดำเนินการในปี 2563

อินโดนีเซีย ขนาดพื้นที่ 2 แสนตารางเมตร จัดตั้งอยู่ที่ Tangerang New City จาการ์ตา เริ่มทยอยเปิดเฟสแรกในปี 2563 ส่วนประเทศไทย ขนาดพื้นที่ 3.3 แสนตารางเมตร เริ่มทยอยเปิดโครงการในปี 2563 เช่นกัน รวมทั้งยังมีโปรเจกต์ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ดูไบ ขนาดพื้นที่ 5.30 หมื่นตารางเมตร ประเทศฟิลิปปินส์ ขนาดพื้นที่ 1.70 แสนตารางเมตร ตั้งอยู่ที่ Pampanga มะนิลา และออสเตรเลีย ขนาดพื้นที่ 3.50 หมื่นตารางเมตร ซิดนีย์ด้วย

เป็นที่น่าจับตาว่าจะเป็นปรากฏการณ์ถล่มตลาด ที่มีผลมาจากนโยบายของรัฐบาลในการดึงดูดการลงทุนอีคอมเมิร์ซจากประเทศจีน อย่างที่บรรดานักธุรกิจเขากังวลกันหรือไม่ แต่ที่น่าสนใจอีกเรื่องคือการขยายอาณาจักรของบรรดาทุนจีน นักธุรกิจ ประชากรชาวจีนที่ทุกวันนี้แทรกซึมเข้ามาแทบจะทุกวงการ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสีเทา อสังหาฯ ร้านอาหาร หรือแม้แต่สตรีทฟู้ดที่เคยเป็นประเด็นก่อนหน้านี้ เชื่อว่าในอนาคตอันใกล้บ้านเมืองเราคงจะได้เห็นชาวเพื่อนบ้านเดินกันให้ขวักไขว่ประหนึ่งอาณานิคมใหม่ของจีนก็คงไม่ปาน ถ้าหากการมาของทุนต่างชาติ พวกเขาจะช่วยสร้างงานสร้างอาชีพ สร้างรายได้ หลายคนก็น่าจะยินดีแต่ต้อนรับ แต่ถ้ามาเพื่อกอบโกย ตัดโอกาสคนไทย อันนี้สิน่าคิดล่ะว่าไหม?

BTimes