นับถอยหลัง 2 สัปดาห์ นายกฯ ลั่นเตรียมเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวเข้าไทยไม่ต้องกักตัว เริ่ม 1 พ.ย. นี้

828
0
Share:

นับถอยหลัง 2 สัปดาห์ นายกฯ ลั่นเตรียม เปิดประเทศ รับนักท่องเที่ยวเข้าไทยไม่ต้องกักตัว เริ่ม 1 พ.ย. นี้

เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2564 เวลา 20.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้แถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยเรื่อง “เปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ โดยไม่ต้องกักตัว มีผลเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564”
.
โดยเนื้อหาแถลงการณ์บางส่วนระบุว่า “วันนี้ความเสี่ยงในเรื่องการสูญเสียชีวิตที่จะเกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยกำลังค่อยๆ ลดลง ถึงแม้ว่าความเสี่ยงนั้นจะยังมีอยู่ และเรายังต้องระวัง รักษาความสามารถของระบบสาธารณสุข โรงพยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ของเราอยู่ก็ตาม ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่เราต้องค่อยๆ เตรียมตัว กล้าที่จะเผชิญหน้ากับโควิด-19 โดยมีความพร้อมเรื่องยารักษาและวัคซีนป้องกันมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปอีกไม่นานเราก็จะต้องเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่กับมันเหมือนกับโรคภัยอื่นๆ ที่กลายเป็นโรคประจำถิ่น วันนี้ผมอยากประกาศหนึ่งก้าวเล็กๆ แต่เป็นก้าวที่สำคัญที่เรากำลังจะเดินหน้าบนเส้นทางที่จะช่วยให้พี่น้องประชาชนสามารถกลับมาทำมาหาเลี้ยงตัวเองกันได้อีกครั้ง โดยเร่งให้ ศบค. และกระทรวงสาธารณสุขร่วมพิจารณาภายในสัปดาห์นี้ โดยตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นต้นไป ประเทศไทยจะเริ่มเปิดรับการเดินทางเข้าประเทศไทย โดยไม่ต้องกักตัว สำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว และเดินทางเข้าประเทศไทยโดยทางอากาศ โดยมาจากประเทศที่เรากำหนดว่าเป็นประเทศความเสี่ยงต่ำ

เราจะขอเพียงแค่เมื่อเดินทางเข้าประเทศไทย ทุกคนต้องแสดงตัวว่าปลอดเชื้อโควิด-19 โดยต้องมีหลักฐานผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR ซึ่งทำการตรวจก่อนเดินทางออกจากประเทศต้นทาง และจะมีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 อีกครั้ง เมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย หลังจากนั้นจึงสามารถเดินทางไปพื้นที่ต่างๆ ได้อย่างอิสระเช่นเดียวกับที่คนไทยปกติทั่วไปสามารถทำได้”

จากแถลงการณ์ที่นายกรัฐมนตรีกล่าวไปนั้นสามารถสรุปได้คร่าวๆ ก็คือตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน ไทยจะเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำในการระบาดของโควิด-19 โดยไม่ต้องกักตัว เช่น จีน สิงคโปร์ อังกฤษ เยอรมนี สหรัฐอเมริกา ภายใต้เงื่อนไขสำคัญคือต้องฉีดวัคซีนครบโดส และมีหลักฐานแสดงผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR อย่างชัดเจนจากประเทศต้นทาง

หลังจากที่แถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีจบลง ส่งผลให้ประชาชนรู้สึกตะขิดตะขวงใจจนต้องตั้งคำถามกลับไปว่าไทยจะเปิดประเทศได้จริงๆ ใช่หรือไม่ เพราะถึงแม้ในตอนนี้ยอดติดเชื้อจะลดลงไปค่อนข้างมาก แต่ก็ยังแตะหลักหมื่น อีกทั้งจังหวัดที่เปิดการท่องเที่ยวไปก่อนหน้านี้ตามแผนเปิดประเทศก็ยังเจอกับศึกการระบาดอันแสนสาหัส รวมถึงจังหวัดเชียงใหม่ เมืองท่องเที่ยวที่เป็นรายได้หลักก็ดันกลับมาพบการแพร่ระบาดที่เป็นคลัสเตอร์ใหม่ขนาดใหญ่ พบผู้ติดเชื้อหลายร้อยรายอีกครั้ง จนเกิดเป็นคำถามตามมาอีกระลอกว่าหากเราจะเปิดประเทศเราควรที่จะคลายล็อคในประเทศตัวเองก่อนมิใช่หรือ และการตรวจ RT-PCR หรือการตรวจแบบ ATK ที่มีอยู่ครอบคลุมมากพอหรือยัง รวมทั้งการฉีดวัคซีนให้คนในประเทศมากเพียงพอต่อการเปิดประเทศหรือเปล่า

หากย้อนไปดูภาพรวมของประเทศที่สามารถเปิดประเทศได้แล้ว ก็จะเห็นว่ายอดการฉีดวัคซีนครบโดสของประเทศนั้นๆ มีเกินกว่า 70% เท่ากับว่าเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สามารถทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ขึ้นได้ แต่เมื่อวกกลับมาดูยอดการฉีดวัคซีนในประเทศไทย อ้างอิงข้อมูลจากวันที่ 15 ตุลาคม 2564 พบว่า มีจำนวนประชากรที่ได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้วอยู่ที่ 23,796,497 คน หรือคิดเป็น 33.03% เท่านั้น โดยยี่ห้อวัคซีนที่ประเทศไทยใช้เป็นหลักในการกระจายฉีดยังเป็นเรื่องที่ทำให้ประชาชนกังวล จนเกิดข้อกังขาถึงประเด็นประสิทธิภาพในการรับมือกับการระบาดของเชื้อปกติ และเชื้อกลายพันธุ์ว่าสามารถป้องกันได้เป็นอย่างดีแน่หรือไม่ หากเรายังไม่มีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อกลายพันธุ์ได้มากเพียงพอก็อาจจะทำให้ไทยต้องกลับมาล็อคดาวน์อีกได้ในอนาคต…

“วันนี้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกในการปกป้องรักษาชีวิตของประชาชน” ข้อความข้างต้นคือฮุกเด็ดของนายกรัฐมนตรีที่ทำเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจนขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์ประเทศไทยอันดับ 1 ติดกันสองวัน ซึ่งทำให้ประชาชนรู้สึกว่าข้อมูลนี้ค่อนข้างขัดแย้งกับข้อมูลของ Nikkei ที่สำรวจและจัดอันดับประเทศและดินแดนกว่า 120 แห่งทั่วโลกด้วยดัชนี COVID-19 Recovery Index เพื่อวัดขีดความสามารถ 3 ด้านใหญ่ได้แก่

1. การบริหารจัดการวิกฤตโรคระบาด (Infection Management)
2. การฉีดวัคซีน (Vaccination)
3. ความสามารถในการเคลื่อนตัวของสังคม (Mobility)

โดยเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2564 ดัชนี Nikkei ได้เผยข้อมูลที่ดูเหมือนว่าสถานการณ์ภายในประเทศไทยจะมีแนวโน้มเชิงบวกมากขึ้น แต่ก็ยังน่าเป็นห่วง เพราะอันดับของไทยนั้นอยู่ที่ 109 จากทั้งหมด 120 ประเทศ ยิ่งทำให้ประชาชนหลายคนตั้งคำถามกลับไปหานายกรัฐมนตรีฯ พล.อ.ประยุทธ์ อีกครั้งว่าสมควรเปิดประเทศในครั้งนี้จริงหรือ?

ทางด้าน ศ.นพ. ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แสดงความคิดเกี่ยวกับกรณีเปิดประเทศวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 นี้ผ่านทางเฟซบุ๊กว่า “ที่อื่นเค้าเปิดเมื่อพร้อมทั้งเรื่องระบบตรวจคัดกรองพร้อม มีศักยภาพตรวจได้มาก ประชากรส่วนใหญ่ได้วัคซีนครบสองโดส ระบบตรวจสอบ ติดตามตัว ที่มีประสิทธิภาพและสถานการณ์ระบาดไม่รุนแรง คุมได้ดี แม้กระนั้นหลายประเทศเปิดแล้วเค้าก็เจอผลกระทบตามมาชัดเจน คำถามที่ควรคิดคือ หากเปิดขณะที่ระบบตรวจก็มีศักยภาพจำกัด ประชาชนในประเทศก็ยังได้รับวัคซีนครบโดสเป็นส่วนน้อย รวมถึงสถานการณ์ก็หลักหมื่นต่อวัน จะเกิดอะไรตามมา?”

ทางด้านนายแพทย์ประสิทธิ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ก็ได้แสดงความคิดเห็นต่อการเปิดประเทศในครั้งนี้ว่า “เป็นห่วงคนที่จะเข้ามาในประเทศในแบบที่ไม่ถูกต้องมากกว่า เช่นแรงงานที่ลักลอบเข้ามาแบบผิดกฎหมาย เพื่อมาทำงาน เพราะมีการเปิดเมือง เปิดประเทศ ซึ่งคนเหล่านี้อาจจะไม่ได้รับการตรวจ และอาจจะมีเชื้ออยู่แล้ว จนทำให้เชื้อกระจาย ก็อยากจะให้ช่วยกันเป็นหูเป็นตา แต่ก็ขออย่ามองกลุ่มคนเหล่านี้ในเชิงลบ เพราะก็มีส่วนทำให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนได้ แต่อยากให้นำเข้ามาในระบบอย่างถูกต้อง และพาเข้าสู่การฉีดวัคซีน ซึ่งตนเชื่อว่าถ้าทำได้ เศรษฐกิจก็จะขับเคลื่อนไปได้ ทั้งนี้ ก็ยังคงต้องลุ้นและรอดู เพราะถือเป็นนโยบายรัฐบาล ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ตนเองอยากย้ำคือ เศรษฐกิจไทยสามารถขับเคลื่อนได้ด้วยคนไทยก่อน เพราะจะทำให้ปลอดภัย และหากทุกคนมีความรับผิดชอบในตัวเอง ก็มีโอกาสที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยค่อยฟื้นตัวได้”

ทั้งนี้ต้องยอมรับจริงๆ ว่าประชาชนต่างจับตาดูการทำงานของรัฐบาลในการรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดการเตียงรองรับผู้ป่วยโควิด-19 หรือการบริหารจัดการวัคซีน ฯลฯ แต่อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ ก็ได้คอนเฟิร์มแล้วว่าจะมีการเปิดประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายน และภายในวันที่ 1 ธันวาคมนี้แน่นอน ซึ่งนายกฯ ยังได้บอกอีกว่าจะพิจารณาอนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารได้ และจะพิจารณาอนุญาตให้สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ รวมถึงสถานบันเทิงให้สามารถเปิดให้บริการได้ ภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุขที่เหมาะสม เพื่อสนับสนุนและกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว การพักผ่อนและบันเทิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เรากำลังจะเข้าสู่เทศกาลเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสปีใหม่

สุดท้าย เราก็ได้แต่หวังว่าภาวะผู้นำในการกล้าคิด กล้าทำ และกล้าเสี่ยงในครั้งนี้ของนายกฯ จะไม่ทำให้คนไทยต้องอยู่บ้านกันยาวๆ อีกรอบนะคะ ทีมงาน BTimes ขอเป็นกำลังใจให้คนไทยทุกคนค่ะ สู้ๆ นะคะ เราจะผ่านมันไปด้วยกันค่ะ

BTimes