บทเรียนน้ำมันรั่ว หายนะของธรรมชาติจากเงื้อมมือมนุษย์

1016
0
Share:

บทเรียน น้ำมันดิบรั่ว หายนะของธรรมชาติจากเงื้อมมือมนุษย์
เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2565 ที่ผ่านมา จากกรณีที่ท่อน้ำมันดิบใต้ทะเลบริเวณอ่าวมาบตาพุดรั่ว ส่งผลให้มีคราบน้ำมันกระจายลอยกลางอ่าวไทยเป็นบริเวณกว้าง แต่ในช่วงเวลาดังกล่าว ข่าวนี้กลับไม่ได้รับความสนใจมากเท่าไรนัก ทั้งยังมีประเด็นข่าวอื่นที่มาแรงจนกลบกระแส กลับกันเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วที่เกิดขึ้น ถือเป็นวิกฤตการณ์ที่น่ากังวลไม่น้อยทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

หลังจากก้าวพ้นปีใหม่มาได้ไม่นาน ดูเหมือนว่าธุรกิจภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทยมีแววเริ่มฟื้นตัว ผู้คนต่างออกมาใช้ชีวิตกันอย่างคึกคัก แม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยังคงพุ่งสูง แต่ก็ไม่อาจกีดขวางแผนการท่องเที่ยวที่อัดอั้นมานานได้ อีกทั้งการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบ Test & Go ที่มีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หวังช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถสร้างรายได้กลับมา แต่เหมือนโชคชะตาจะไม่เข้าใจ เพราะหลังจากเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่ว ส่งผลให้พื้นที่จังหวัดระยองและพื้นที่ใกล้เคียงต่างได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะผู้ประกอบการร้านอาหารและที่พัก เนื่องจากนักท่องเที่ยวมีความกังวลเรื่องของคราบน้ำมัน รวมถึงการปนเปื้อนของอาหารทะเล ส่งผลให้แห่ยกเลิกแผนการท่องเที่ยว ยิ่งฉุดให้เศรษฐกิจกลับมาเงียบเหงาอีกครั้ง

คงมีเพียงคนในพื้นที่เท่านั้นที่รับรู้ได้ถึงหายนะทางธรรมชาติในครั้งนี้ ส่วนคนที่ไม่ได้รับผลกระทบก็อาจคิดว่าเพียงแค่กำจัดคราบน้ำมันออกก็คงหมดปัญหา แต่ความจริงที่น่ากลัวคือปัญหานี้อาจส่งผลระยะยาวต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่ที่อาศัยอยู่ในระบบนิเวศทางทะเล รวมถึงคราบน้ำมันที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำยังบดบังแสงสว่างไม่ให้ส่องผ่านลงไปในน้ำทะเล ทำให้เกิดผลกระทบต่อกระบวนการสังเคราะห์แสงของพืชใต้น้ำ ซึ่งเป็นแหล่งผลิตอาหารขั้นพื้นฐานในห่วงโซ่อาหาร ร้ายแรงซ้ำซ้อนในแง่ของการบริโภค ที่ส่งผลอาจทำให้เกิดการสะสมของสารเคมีในสัตว์ทะเล หากนำมารับประทานต่อก็นำมาซึ่งความอันตราย

แต่ใช่ว่าประเทศไทยจะไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ย้อนกลับไปเมื่อปี 2556 ก็เคยเกิดเหตุการณ์น้ำมันรั่วขึ้นบริเวณทุ่นรับน้ำมันดิบกลางทะเล บริเวณใกล้เคียงเกาะเสม็ด จังหวัดระยองเช่นกัน และหากย้อนดูข้อมูลทางสถิติของกรีนพีซ จะพบว่า นับตั้งแต่ปี 2517 เป็นต้นมา ประเทศไทยเคยประสบวิกฤตการณ์น้ำมันรั่วมาแล้วกว่า 240 ครั้ง ในเมื่อไทยเคยประสบปัญหานี้มานับไม่ถ้วน แต่การแก้ปัญหาหลังจากนั้นดูจะมีความติดขัดจนน่าแปลกใจ ส่งให้ประชาชนเกิดคำถามในใจว่าในเมื่อไทยเคยมีบทเรียนมาแล้วในอดีต แต่ทำไมกลับไม่เคยนำบทเรียนเหล่านั้นมาปรับใช้ เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาซ้ำซ้อน หรือมีแนวทางการแก้ไขที่ฉับไวกว่านี้ อีกทั้งข้อกำหนดทางกฎหมายต่างๆ ก็ยังคงหละหลวม เอื้อเฉพาะนายทุน แต่กลับไม่คุ้มครองประชาชนและสิ่งแวดล้อมเลย

หลังจากเกิดปัญหา ผู้คนที่ได้รับความเดือดร้อนต่างเรียกร้องขอให้บริษัทต้นเหตุและผู้ที่เกี่ยวข้องเยียวยาความเดือดร้อนจากผลกระทบในครั้งนี้ แต่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่อยู่ในน้ำ ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์นั้นไม่สามารถเรียกร้องความยุติธรรมของมันได้เลย ทั้งที่ปัญหาทั้งหมดเกิดจากฝีมือมนุษย์ แต่เหตุไฉนสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ต้องได้รับความเดือดร้อนอย่างไม่เป็นธรรม

ไม่มีสิ่งใดฉลาดเกินมนุษย์ และไม่สิ่งใดเห็นแก่ตัวเท่ามนุษย์เช่นเดียวกัน จากหลายเหตุการณ์ในอดีตที่สิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่หลากหลายชนิดต่างต้องดับสลาย หรือสูญพันธุ์ เกือบทั้งหมดก็มาจากเงื้อมมือของผู้ที่ตั้งตนว่าเป็นสัตว์ประเสริฐทั้งสิ้น สุดท้ายแล้วมนุษย์ก็คือผู้ทำลายล้างทุกอย่างเพียงเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดโดยไม่คำนึงถึงศีลธรรมใดๆ

ทางทีมงาน BTimes ขอเป็นกำลังใจให้พี่น้องชาวระยองและพื้นที่ใกล้เคียงที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วในครั้งนี้ และภาวนาให้ทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาวะปกติโดยเร็ว พร้อมหวังว่าระบบนิเวศทางธรรมชาติของหมู่เกาะทะเลจะฟื้นฟูโดยเร็วเพื่อให้คนไทยได้ไปสัมผัสความสวยงามของทะเลไทย คู่กับเกิดการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้คนในพื้นที่กลับมามีรายได้อีกครั้ง สู้ๆ นะคะ

BTimes