‘SOTUS’ วัฒนธรรมรับน้องโหด การส่งต่อระบบความเชื่อแบบผิดๆ ที่ยังคงมีให้เห็นในสังคมไทย

881
0
Share:

‘SOTUS’ วัฒนธรรม รับน้อง โหด การส่งต่อระบบความเชื่อแบบผิดๆ ที่ยังคงมีให้เห็นในสังคมไทย
แม้ช่วงหลังมานี้กิจกรรมการรับน้องใหม่จะถูกปรับปรุงแก้ไขไปในทางที่สร้างสรรค์มากขึ้น แต่ก็ใช่ว่าทุกสถาบันการศึกษาจะสามารถควบคุมกิจกรรมให้เป็นไปอย่างปลอดภัย หรือแม้แต่ลบล้างความเชื่อในระบบโซตัสนี้ให้หมดไปได้อย่างหมดจด เพราะยังคงมีกลุ่มคนที่เชื่อในวิถีโซตัส และพร้อมที่จะนำมาใช้อย่างไม่ถูกต้อง

ระบบอาวุโส หรือต้นกำเนิดของโซตัส (SOTUS) มีการสันนิษฐานว่าถูกนำเข้ามาในประเทศไทยในช่วงประมาณ พ.ศ.2440 ด้วยการรับต้นแบบมาจากโรงเรียนกินนอนในประเทศอังกฤษ โดยคำว่า ‘SOTUS’ มาจากตัวอักษรนำของคำในภาษาอังกฤษ 5 คำ คือ Seniority การเคารพผู้อาวุโส, Order การปฏิบัติตามระเบียบวินัย, Tradition การปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณี, Unity การเป็นหนึ่งเดียว และ Spirit ความมีน้ำใจ

ความเชื่อที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นยาวนานกว่า 125 ปีนี้ หากนำมาใช้ในทางที่ถูกที่ควรก็จะเห็นถึงข้อดีของระบบ ‘SOTUS’ ได้ นั่นคือการทำให้รุ่นพี่รุ่นน้องสนิทกัน เอื้อเฟื้อช่วยเหลือกัน และสร้างความสามัคคี ทำให้มีความผูกพันกันมากขึ้น แต่ถ้านำมาใช้ในทางที่ผิด คือไม่ได้นำมาใช้เพื่อจุดประสงค์ในการสร้างความสัมพันธ์ แต่กลับใช้เพื่อเป็นช่องทางระบายความเคียดแค้นจากการเคยเป็นผู้ถูกกระทำ โดยที่ไม่สามารถแก้แค้นคืนกลับไปยังรุ่นพี่ได้ ผลกรรมจากความแค้นเหล่านั้นจึงตกไปอยู่ที่รุ่นถัดไป นั่นคือเฟรชชี ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับวงจรอุบาทเหล่านี้เลย และหากจะบอกว่าเฟรชชี หรือรุ่นน้องเป็นแพะรับบาปก็คงไม่เกินจริง

หากยังไม่มีหลักสูตร หรือการชี้แนะที่ถูกต้องอย่างชัดเจนของระบบ ‘SOTUS’ จะทำให้เฟรชชีป้ายแดงมีสิทธิ์เลือกและตัดสินใจเข้าร่วมกิจกรรมมากน้อยแค่ไหน ก็ต้องย้อนถามกลับไปว่าถ้าหากไม่เข้าร่วม ตนจะกลายเป็นแกะดำของรุ่นหรือไม่? แล้วชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยหลังจากนี้จะสงบสุขหรือเปล่า? ก็ต้องยอมรับจริงๆ ว่าแทบทุกสถาบันให้ความสำคัญกับกิจกรรมรับน้อง และมีแนวทางการรับน้องที่ไม่เหมือนกัน รวมถึงบทลงโทษก็ดูจะแตกต่างกันอยู่บ้าง บางที่คนที่ไม่เข้ารับน้องก็สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติได้ แต่สำหรับบางที่ถือเป็นเรื่องใหญ่ มีบทลงโทษที่ดูโหดร้ายเกินกว่าจะยอมรับได้ ส่งผลกระทบลามเป็นลูกโซ่ในเรื่องของการดำเนินชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย ที่หลายครั้งดูจะรุนแรงต่อทั้งร่างกายและจิตใจเป็นอย่างมาก

เพราะสาเหตุใดเด็กคนหนึ่งที่ต้องการเพียงเข้ามาศึกษาหาความรู้ เพื่อที่จะได้นำความรู้ไปประกอบอาชีพในอนาคต มากไปกว่านั้นคือบางคนอาจเป็นความหวังเดียวของครอบครัว กลับต้องมาสังเวยชีวิตที่สุดแสนจะมีค่าให้กับระบบที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไปแล้วจะได้ประโยชน์อะไร อีกทั้งคนที่ทำก็เป็นแค่คนที่เพิ่งรู้จักกันได้เพียงไม่นาน…

สุดท้ายเราจะปล่อยให้ระบบความเชื่อผิดๆ มาพรากชีวิตและอนาคตของเด็กคนหนึ่งไปอย่างไม่มีวันย้อนกลับต่อไปจริงหรือ ผู้มีอำนาจในสถาบันจะปิดตาและปล่อยให้กิจกรรมที่แสนทารุณเกิดวนซ้ำไปในทุกปีใช่หรือไม่? คิดบ้างไหมว่าชีวิตของทุกคนมีคุณค่า และอาจสร้างประโยชน์มหาศาลให้กับตัวเขาเอง ให้กับครอบครัว หรือแม้แต่ให้กับประเทศชาติ ถ้าไม่ต้องสังเวยชีวิตให้กับกิจกรรมสานสัมพันธ์ปลอมๆ ภายใต้หน้ากาก SOTUS เหล่านี้…

ทีมงาน BTimes ก็หวังว่าระบบนี้จะหายไป หรือได้รับการแก้ไขและนำมาใช้อย่างถูกวิธี โปรดอย่าลืมว่าทุกชีวิตมีค่าเกินกว่าจะนำมาเป็นเรื่องสนุก

BTimes