เงินเฟ้อที่แรงที่สุดมาแล้ว คนไทยรับรู้ถึงผลกระทบจากสภาวะเงินเฟ้อบ้างแล้วหรือยัง?

929
0
Share:

เงินเฟ้อ ที่แรงที่สุดมาแล้ว คนไทยรับรู้ถึงผลกระทบจากสภาวะเงินเฟ้อบ้างแล้วหรือยัง?
‘เงินเฟ้อ’ คำธรรมดาที่สุดแสนจะน่ากลัว และหากประเทศใดได้พบเจอก็ถือว่าหายนะทางเศรษฐกิจกำลังจะเริ่มต้นแล้ว แต่ในตอนนี้ไม่น่าเชื่อว่าประชาชนคนไทยจะได้สัมผัสกับภาวะเงินเฟ้อนี้ มิหนำซ้ำยังเป็นสถิติที่สูงที่สุดในรอบ 13 ปีอีกด้วย

‘ข้าวของราคาแพง แต่ค่าแรงแสนถูก’ ยังคงเป็นคำจำกัดความที่สื่อความหมายได้ตรงใจกับคนไทยเสมอมา เพราะแม้เวลาจะผ่านล่วงนานมาหลายปี แต่ดูเหมือนคนไทยจะไม่สามารถหลุดพ้นจากห้วงเคราะห์กรรมเหล่านี้ได้เลย

ย้อนกลับไปเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้เปิดเผยผลดัชนีราคาผู้บริโภค หรืออัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยที่พุ่งสูงขึ้นถึง 5.28% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน สอดคล้องกับข้อมูลจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ KKP Research เกียรตินาคินภัทร ณ วันที่ 9 มีนาคม 2565 ที่คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อในปี 2565 อาจปรับตัวสูงขึ้นเกิน 4% ตามราคาน้ำมันดิบโลก เท่ากับว่าอัตราเงินเฟ้อในปี 2565 จะสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2551 หรือสูงที่สุดในรอบ 14 ปี รวมถึงจะส่งผลให้การบริโภคนั้นชะลอตัวลง คิดดูว่าคนไทยต้องสู้ชีวิตกันมาหนักขนาดไหนจากวิกฤตหลายอย่าง ทั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือผลกระทบจากภัยธรรมชาติต่างๆ ที่ดูทรงแล้วน่าจะดีขึ้น แต่โชคชะตาดันเล่นตลก เพราะเกิดเหตุความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกเป็นอย่างมาก สะเทือนลามมาถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน

จากเมื่อก่อนที่เคยบอกว่าเราเองก็ลำบาก แต่พอย้อนกลับไปดูอดีตก็จะเห็นได้ว่าความลำบากที่เคยผ่านพ้นมานั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับสิ่งที่คนไทยต้องเผชิญในปัจจุบัน ยกตัวอย่างจากราคาน้ำมัน เปรียบเทียบระหว่างเดือนมีนาคม ปี 2564 กับเดือนมีนาคม ปี 2565 พบว่าราคาน้ำมันดีเซลและแก๊สโซฮอล์ ปรับขึ้นเฉลี่ยลิตรละ 3-13 บาท ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำนั้นยังคงรักษาระดับอยู่ที่ 300 บาทเท่าเดิม นี่ยังไม่รวมสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ ที่ทยอยปรับขึ้นราคาตามวัตถุดิบและต้นทุนที่สูงขึ้นอีกด้วย

ขณะที่รัฐบาลก็พยายามจะแนะแนวทางให้ประชาชนหันไปปลูกผักเลี้ยงสัตว์เพื่อบริโภคเอง แต่ตอนนี้ราคาอาหารสัตว์และราคาปุ๋ยก็พุ่งสูงจนน่าตกใจ เหตุเพราะวัตถุดิบของทั้ง 2 รายการนี้มีประเทศรัสเซียกับยูเครนเป็นผู้ผลิตและส่งออกรายใหญ่ของโลก ยิ่งเมื่อแหล่งผลิตเกิดสงคราม จึงส่งผลกระทบโดยตรง ซ้ำผลผลิตที่ได้ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดอีกด้วย เกิดเป็นคำถามต่อมาว่าแล้วพอจะมีทางเลือกไหนที่ทำให้คนไทย โดยเฉพาะกลุ่มคนหาเช้ากินค่ำและชนชั้นแรงงานสามารถใช้ชีวิตด้วยเงิน 300 บาทอย่างไม่ขัดสนได้บ้าง ซึ่งดูแล้วก็ยังคิดไม่ตก…

หากปัญหาสงครามลากยาวกินเวลานานนับปี ถ้ารัฐบาลยังไม่รีบวางแผนหรือแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศในเร็ววัน คงได้เห็นประชาชนคนไทยอดตายกันถ้วนหน้าเป็นแน่

ถึงอย่างไรทีมงาน BTimes ก็ขอเป็นกำลังให้แฟนเพจทุกคนกัดฟันสู้ แม้จะรู้ว่ามันยากลำบาก แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป และหวังว่าจะมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับคนไทยบ้าง สู้ๆ นะคะ แล้วเราจะผ่านมันไปด้วยกันทุกวิกฤตค่ะ

BTimes