เขาทำได้ยังไง! ส่องปัจจัยเด็ดส่ง “เวียดนาม” ไต่อันดับเตรียมครองแชมป์อาเซียน เศรษฐกิจโตเร็ว โตแรง ดึงลงทุนอู้ฟู่แซงไทย

553
0
Share:

เขาทำได้ยังไง! ส่องปัจจัยเด็ดส่ง “เวียดนาม” ไต่อันดับเตรียมครองแชมป์อาเซียน เศรษฐกิจ โตเร็ว โตแรง ดึงลงทุนอู้ฟู่แซงไทย - เศรษฐกิจเวียดนาม

ประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค หรือเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในคู่แข่งของไทย คงไม่มีใครไม่รู้จัก “เวียดนาม” ที่หลายวันมานี้มีข่าวดีออกมาให้ได้เห็นอยู่มากมาย โดยเฉพาะตัวเลขทางเศรษฐกิจบ้านเขาที่เพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรง แซงคุ้งน้ำแปซิฟิกไปแล้ว

เศรษฐกิจเวียดนามโตเกินเป้า
ภายใต้กระแสการชะลอตัวของสภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก เวียดนามกลับกลายเป็นประเทศที่มีจีดีพีเติบโตได้ถึง 7.72% ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 แถมยังเป็นการเติบโตมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2556 ทั้งได้คาดการณ์ไว้ว่าการเติบโตจะเร่งตัวขึ้นอีกในระดับมากกว่า 10% ในไตรมาสที่ 3 นี้

แต่ล่าสุดสำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม ได้รายงานภาวะการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาส 3 มีอัตราการขยายตัวหรือจีดีพีเพิ่มสูงมากถึง 13.67% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2564 ที่ผ่านมา นับเป็นการพุ่งขึ้นเกินเป้าหมาย ที่สำคัญตัวเลขจีดีพีดังกล่าวยังทำสถิติการขยายตัวทางเศรษฐกิจเวียดนามมากที่สุดในรอบ 10 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา โดยในภาคการผลิตรวมถึงภาคการก่อสร้างเวียดนามขยายตัวสูงถึง 12.91% การส่งออกและภาคบริการเพิ่มขึ้นมากถึง 18.86% ขณะที่ภาคการเกษตรเพิ่มขึ้น 3.24% ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นอุตสาหกรรมชูโรงของพี่เขา

อะไรที่ทำให้เศรษฐกิจโตร้อนแรง
ในช่วงที่มีสถานการณ์โควิด-19 เวียดนามเป็นประเทศที่ได้รับประโยชน์จากความเข้มงวดของนโยบายโควิดเป็นศูนย์ในประเทศจีน ซึ่งทำให้หลายธุรกิจทั่วโลกจำเป็นต้องกระจายห่วงโซ่อุปทานและย้ายฐานการผลิตไปยังเวียดนามมากขึ้น และอีกข้อได้เปรียบนั่นก็คือเวียดนามมีประชากรวัยแรงงานที่มีคุณภาพจำนวนมาก ภายใต้อัตราค่าจ้างแรงงานในระดับต่ำ รวมถึงภาครัฐก็มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศร่วมด้วย

อีกเรื่องที่หลายคนคิดไม่ถึง ก็คือเวียดนามไม่ได้เป็นศัตรูกับ 2 ประเทศมหาอำนาจอย่างจีนหรือสหรัฐอเมริกา ดังนั้นเลยถูกมองว่าเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์น้อยมากๆ ที่สำคัญยังได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศที่ควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ได้เป็นอย่างดี ทั้งการระดมฉีดวัคซีนตั้งแต่เนิ่นๆ โดยเลือกใช้วัคซีนที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้บรรดานักลงทุนแห่กันมาซบอกพี่เวียดนาม

กลเม็ดเด็ดดวงในการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ
อย่างแรกก็คือ ความมีเสถียรภาพของภาคการเมือง (Socio-political stability) เนื่องจากเวียดนามปกครองรูปแบบสังคมนิยมพรรคเดียว อีกทั้งโครงสร้างประชากรวัยทำงานสัดส่วนสูงถึง 60% ถึงแม้ว่าปัจจุบัน ค่าจ้างแรงงานในเวียดนามจะไม่ต่ำเท่าอดีต เพราะ FDI เพิ่มขึ้นมาก ทำให้ต้องการแรงงานเพิ่ม และรัฐบาลเวียดนามปรับอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำต่อเนื่องให้สอดคล้องกับค่าครองชีพ แต่เวียดนามยังมีแรงงานจำนวนมาก หากเปรียบเทียบกับจำนวนประชากรที่ถึงมีเกือบ 100 ล้านคน

ซึ่งการที่เวียดนามปรับปรุงกฎระเบียบและขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการค้าให้สอดคล้องกับมาตรฐานนานาชาติ เป็นผลจากการที่เวียดนามลงนามความตกลงการค้าเสรีกับหลายประเทศ ทำให้เวียดนามต้องปรับปรุงกฎระเบียบ มาตรฐานต่างๆ หากเทียบกับไทยที่อยู่ในระหว่างการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ ซึ่งใช้ระยะเวลานานพอสมควร แต่พี่เวียดนามตัดตอนมายังการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่เลย ทำให้สามารถเดินหน้าได้รวดเร็วกว่าไทย แม้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวอย่างหนัก แต่ก็มองว่าคุ้ม!!

ขึ้นแท่นเป็นฐานการผลิตแห่งใหม่ในเอเชีย ลูกศรชี้กลับ ลงทุนเวียดนามพุ่งแซงไทย
เมื่อก่อนเราคงจะได้ยินบ่อยๆ ว่าหลายๆ ประเทศจะมาตั้งฐานการผลิตในไทยตามนโยบายอีอีซีที่รัฐผลักดันมาเนิ่นนาน แต่หลังจากเกิดวิกฤตโควิด-19 ทุกอย่างก็ต้องแป๊กสิคร๊าบ ปิดประเทศ ล็อกดาวน์แบบไม่รู้จุดหมาย นักลงทุนต้องหาฐานการผลิตใหม่ที่ไม่ต้องเพิ่มต้นทุน ไม่ว่าจะด้วยวัตถุดิบขาดแคลน การขนส่งลำบาก หรือใดๆ ก็ตาม ดังนั้นเวียดนามจึงกลายเป็นฐานการผลิตแห่งใหม่ในเอเชีย ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ ใกล้ๆ กับไทยด้วย แต่ได้เปรียบกว่าในช่วงโควิด-19 ล่าสุดจึงมีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดแห่งหนึ่งในอาเซียน

โดยช่วง 12 ปีที่ผ่านมา การลงทุนทางตรงจากต่างประเทศที่เข้ามาในอาเซียนระหว่างไทยกับเวียดนาม จะพบว่าประเทศไทยจะได้รับเงินลงทุนจากต่างชาติราว 30% ของปริมาณการลงทุนทั้งหมด ในขณะที่ประเทศเวียดนามได้ส่วนแบ่งราว 10% แต่ในช่วง 12 ปีต่อมาดันกลับด้านกัน ไทยได้รับสัดส่วนการลงทุนจากต่างชาติลดต่ำเหลือเพียง 10% ส่วนเวียดนามกลับพุ่งขึ้นถึงประมาณ 30% หรือเพิ่มกว่า 3 เท่าในช่วงเวลานั้น โดยเห็นได้ชัดเจนก็ตอนปี 2557 ที่เวียดนามแซงไทยได้แล้ว แถมแซงทิ้งห่างไปเรื่อยๆ แม้ไทยที่เปลี่ยนผ่านมาสู่รัฐบาลจากการเลือกตั้งแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศได้เท่าที่ควร

กำลังซื้อในประเทศแข็งแกร่ง
กำลังซื้อของประชาชนในประเทศเวียดนามที่แข็งแกร่ง ทำให้เวียดนามยังคงมีอัตราการเติบโตสูงกว่าไทย โดยธนาคารโลกคาดการณ์จีดีพีในปี 2565 ว่าเวียดนามจะอยู่ที่ 7.2% ขณะที่ของไทยอยู่ที่ 3.1% อ่านแล้วช่างเป็นท้อ

ความหวังดึงความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับไทย
ล่าสุดปมนายกฯ 8 ปี หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ได้ต่อ หลังจากแขวนไว้ให้ “บิ๊กป้อม” ที่ไม่รู้ๆๆๆ มาคอยรับหน้าอยู่ช่วงหนึ่ง บรรดาเอกชนเองก็หวังว่าการที่ “บิ๊กตู่” ได้อำนาจเต็มกลับคืน จะเป็นผลดีเป็นสัญญาณดีต่อความเชื่อมั่นต่างชาติ เตรียมพร้อมในการเจรจาข้อตกลง ความร่วมมือต่างๆ ในช่วงการเป็นเจ้าภาพเอเปคของประเทศไทยในเร็วๆ นี้

ท่ามกลางเงินเฟ้อแรง เงินบาทอ่อน ส่วนการขึ้นดอกเบี้ยครั้งล่าสุดของ กนง. ก็ดูไม่ช่วยอะไรเท่าไร ทั้งส่งออกยังทรงๆ แบบนี้ เศรษฐกิจไทยต่อจากนี้จะวิ่งให้ทันเวียดนามยังไงไหว แต่ที่แน่ๆ คงมีหลายคนตั้งคำถามว่า 8 ปีที่ผ่านมายังไม่ไปไหน แล้วต่อไปยังจะหวังได้อีกหรือ? แบบนี้ถ้าเวียดนามจะโตแซงไทยก็คงไม่มีอะไรให้เซอร์ไพรส์ละนะ

BTimes