เมื่อสินค้า “แบรนด์เนม” ไม่ได้เป็นศัตรูของการออม แต่เป็นขุมทรัพย์ “การลงทุน” ให้รวยได้

370
0
Share:

เมื่อสินค้า “แบรนด์เนม” ไม่ได้เป็นศัตรูของการออม แต่เป็นขุมทรัพย์ “การลงทุน” ให้รวยได้

ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยภาพลักษณ์ของสินค้าแบรนด์เนมอาจจะถูกพูดถึงในฐานะตัวแทนของความฟุ่มเฟือย หรือ “เป็นศัตรูของการออมเงิน” เลยก็ว่าได้ เพราะด้วยราคาที่สูง บางชิ้นสามารถเอาเงินไปซื้อรถเก๋งคันนึงเลยก็มี แต่ในความเป็นจริงแล้วการซื้อของแบรนด์เนมยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้เหมือนกับการลงทุนรูปแบบหนึ่งเช่นกัน และบางครั้งยังแอบให้กำไรหรือผลตอบแทนมากกว่าหุ้นซะอีก

ที่ผ่านมาตลาดสินค้าแบรนด์เนมไม่ใช่แค่เติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ยังยิ่งเติบโตมากขึ้นระดับหลายสิบเปอร์เซ็นต์ แม้กระทั่งในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตโควิด-19 ที่แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วงที่เริ่มต้นวิกฤตโควิด-19 ใหม่ ๆ ตลาดสินค้าแบรนด์เนมก็หยุดชะงักไปเหมือนกับตลาดอื่นๆ แต่ก็แค่เพียงไม่นาน เพราะเมื่อลองส่องช่องทางออนไลน์ ตลาดสินค้าแบรนด์เนมก็กลับมาเพิ่มมูลค่าได้มากกว่า 10 ล้านล้านบาทในปี 2019 ต่อเนื่องจนถึงปี 2021 ที่ LVMH บริษัทเจ้าของแบรนด์ดังอย่าง Louis Vuitton, Dior, Tiffany & Co. และ Sephora ได้ออกมาประกาศผลกำไรสุทธิว่าเติบโตถึง 156% ส่วนบริษัท Hermes ก็ได้ออกมาอวดว่าเป็น “ปีทองของ Birkin Bag” พร้อมโชว์ผลกำไรสุทธิเติบโต 77% หรือแม้แต่ JP Morgan ก็ยังคาดการณ์ว่ามูลค่าการบริโภคสินค้าแบรนด์เนมจะยังเพิ่มขึ้นเป็น 8 หมื่นล้านล้านบาทในปี 2022 อีกด้วย

ถ้าจะยกตัวอย่างแบรนด์เนมที่สร้างมูลค่าได้ก็เช่น นาฬิกา Rolex แต่ถ้าสนใจซื้อ Rolex อาจต้องรอคิวเป็นหลักปี หรือต้องซื้อของพ่วงสะสมยอดกว่าจะมีโอกาสได้ Rolex รุ่นท็อปมาครอง และความหายากนี้ยังทำให้ทันทีที่เราซื้อ Rolex แล้วเดินออกจากช็อป ราคาในตลาดมือสองก็อาจพุ่งเป็นสองถึงสามเท่าไปแล้วก็ได้ และถ้าหากได้ศึกษาราคานาฬิกา Rolex ย้อนหลัง 10 ปี ก็ยังพบว่าสามารถสร้างผลตอบแทนชนะทองคำ อสังหาริมทรัพย์ และหุ้นดาวโจนส์ไปอีก

หลายคนอาจจะมีคำถามแล้วว่า แล้วราคาแบรนด์เนมมันพุ่งขึ้นได้ยังไง? สาเหตุสำคัญที่ทำให้ตลาดสินค้าแบรนด์เนมเพิ่มมูลค่าได้มาก นั่นก็คือการที่กลุ่มผู้มีรายได้สูง หรือเรียกง่ายว่ากลุ่มคนรวยนั่นแหละ โดยเฉพาะในประเทศจีน ต่างก็มีเงินเหลือเก็บจากเพราะสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ไม่ได้ท่องเที่ยว สินค้าแบรนด์เนมจึงกลายเป็นการบริโภคที่เข้ามาแทนที่ ก็คงเบื่อๆไม่ได้ทำอะไร CF กระเป๋า Louis Vuitton แก้เบื่อ ก็เงินเหลือเยอะไม่รู้จะใช้อะไรอ่ะ… ในขณะที่กลุ่มผู้ซื้อสินค้าแบรนด์เนมขยายวงกว้างขึ้น ดึงดูดกลุ่มผู้ซื้อที่อายุน้อยลง

ข้อมูลจากเว็บไซต์ statista.com ได้แสดงมูลค่าแบรนด์หรูที่มีมูลค่าสูงสุด 10 อันดับในปี 2020 ที่สะท้อนถึงความนิยมของผู้ใช้กระเป๋าและซื้อเพื่อการลงทุน พบว่าแบรนด์อันดับหนึ่งคือ Louis Vuitton มูลค่า 1,611,559 ล้านบาท อันดับสอง Chanel มูลค่า 1,124,235 ล้านบาท และอันดับสาม Hermes มูลค่า 1,027,374 ล้านบาท ตามมาด้วยแบรนด์อื่นๆ อย่าง Gucci, Rolex, Cartier, Christian Dior, YVES SAINT LAURENT, Burberry และ Prada

นอกจากนี้ งานวิจัยจาก Bain & Company ก็ยังได้คาดการณ์เอาไว้ว่าภายในปี 2025 ผู้บริโภค Gen Y และ Gen Z จะกลายเป็น 70% ของกลุ่มผู้บริโภคทั้งหมด ยิ่งเป็นจุดที่สะท้อนให้เห็นว่าเทรนด์การบริโภคสินค้าแบรนด์เนมจะไม่ใช่เทรนด์ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว

แต่ใช่ว่ากระเป๋าแบรนด์เนม หรือนาฬิกาแบรนด์เนมทุกชิ้นทุกใบจะทำกำไรได้เหมือนกันหมด รุ่นที่สามารถนำไปลงทุนหรือขายต่อได้นั้น มีอยู่ไม่กี่รุ่น ซึ่งถ้าเลือกลงทุนในกระเป๋าแบรนด์เนมจะต้องเลือกรุ่นที่ไม่เคยจัดโปรโมชันด้วยการลดราคาเลย เช่น Louis Vuitton, Hermes, Christian Louboutin และ Chanel เป็นต้น การไม่ลดราคาของแบรนด์เหล่านี้เป็นการคงคุณค่าของกระเป๋าไปในตัว และโดยนโยบายของแบรนด์เหล่านี้ นอกจากจะไม่มีการลดราคาแล้ว ยังจะเพิ่มราคาของสินค้าตัวใหม่อีกด้วย ซึ่งมีผลทำให้กระเป๋าที่ซื้อมาแล้วสามารถนำมาขายได้ในราคาที่สูงขึ้นนั่นเอง

ถ้าให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ เลือกลงทุนกับ “รุ่นคลาสสิค” เพราะเป็นรุ่นที่ไม่มีตกยุค การออกแบบของรุ่นคลาสสิคของแต่ละแบรนด์นั้นทำให้เจ้าของสามารถใช้งานได้ตลอดเวลา ใครๆ ก็อยากเป็นเจ้าของกระเป๋ารุ่นนี้เสมอ และอีกรุ่นที่ควรลงทุนนั่นคือ Limited Edition เพราะชื่อก็บอกอยู่แล้วว่ารุ่นนี้จะถูกผลิตขึ้นมาเพียงแค่ไม่กี่ใบไม่กี่ชิ้นบนโลก และจะสามารถหาซื้อได้เฉพาะกลุ่มลูกค้าเท่านั้น ทำให้เป็นการเพิ่มมูลค่าได้ทันที เพราะเมื่อมีความต้องการสูง มูลค่าสำหรับการซื้อขายต่อรองย่อมต้องสูงตามไปด้วย

มือสองก็ลงทุนได้ ในกลุ่มสาวๆ ที่อยากจะเริ่มต้นลงทุนกระเป๋าแบรนด์เนมซักใบ แต่อาจจะยังรู้สึกราคาสูงเกินไปหรือรุ่นที่ต้องการหาไม่ได้ตามร้านเจ้าของแบรนด์ ซึ่งถ้าจะเลือกลงทุนกับกระเป๋าแบรนด์เนมมือสอง สิ่งสำคัญอีกอย่างคือความต้องการของตลาด ถ้าวางแผนแล้วว่า “ฉันจะซื้อเพื่อนำมาลงทุน” ถ้าอยากลงทุนอย่างคุ้มค่า ก็ควรเลือกลงทุนกับกระเป๋าแบรนด์เนมที่มีความเป็นเอกลักษณ์ และได้รับความนิยม รวมถึงยังเป็นที่ต้องการของตลาด เพราะมีราคาที่สูงขึ้นตลอดเวลา เช่น กระเป๋าแบรนด์เนมรุ่นคลาสสิก Chanel Classic Flap Bag ที่ดีไซน์ที่มีความเรียบง่าย แต่หรูหราสวยงาม เป็นรุ่นที่ไม่ว่าจะมือหนึ่งหรือมือสอง ราคาก็พุ่งขึ้นทะยานทุกปี แถมยังเป็นรุ่นที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ก็มีคนมองหาและพร้อมจ่ายเงินซื้ออยู่ตลอดเวลา

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สาวๆ ที่อยากจะลงทุนด้วยแบรนด์เนม จะต้องศึกษาให้ละเอียดทั้งแบรนด์เนมที่เราชอบ และการวางแผนไปถึงตลาด ความนิยม ความต้องการของผู้บริโภค กำลังซื้อที่เหมาะสม รวมถึงความเสี่ยงที่ต้องเจอในอนาคต ไม่ใช่แค่การซื้อมาเก็บ หรือซื้อมาถือ เพื่อรอเพิ่มมูลค่าเท่านั้น แต่จะต้องสนับสนุนให้การลงทุนกระเป๋ามีความสมดุลทั้งเรื่องความชอบและความมั่งคั่งในเวลาเดียวกันด้วย ถึงจะเรียกว่า “ลงทุนแล้วรวยด้วยแบรนด์เนม” จริงๆ และ “แบรนด์เนมไม่ใช่แค่สินค้าฟุ่มเฟือยเสมอไป”

BTimes