กรมธุรกิจพลังงานเผยยอดการใช้น้ำมันรอบ 8 เดือน ลดลง 13.6 %

681
0
Share:

น.ส.นันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เปิดเผยว่า สถานการณ์การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยต่อวันในรอบ 8 เดือน (ม.ค.- ส.ค.) ยังปรับลดลง 13.6 % เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้การเดินทางด้วยรถยนต์ เครื่องบิน การขนส่งสินค้า และการดำเนินธุรกิจลดน้อยลง รวมถึงความกังวลต่อการแพร่ระบาดระลอก 2 ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงยังลดลง
.
ทั้งนี้การใช้น้ำมันกลุ่มเบนซิน ลดลง 4.3 % กลุ่มดีเซล ลดลง 4.0% น้ำมันอากาศยานเชิงพาณิชย์ (Jet A1) ลดลง 56.6% ส่วนน้ำมันเตา ลดลง 18.6% น้ำมันก๊าด ลดลง17.8% ก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี) ลดลง 16.4% และก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์(เอ็นจีวี) ลดลง 30.8 %
.
ด้านการใช้น้ำมันกลุ่มเบนซินเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 30.8 ล้านลิตร/วัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 4.3% แยกเป็นเบนซินมีการใช้เฉลี่ยอยู่ที่ 0.8 ล้านลิตร/วัน ลดลง18.7% และกลุ่มแก๊สโซฮอล์เฉลี่ยอยู่ที่ 30.0 ล้านลิตร/วัน ลดลง 3.8 %
.
เมื่อพิจารณาแยกชนิดน้ำมัน พบว่า แก๊สโซฮอล์ อี85 เฉลี่ยอยู่ที่ 0.9 ล้านลิตร/วัน ลดลง 28.9% รองลงมาเป็นแก๊สโซฮอล์ 91 มีปริมาณการใช้เฉลี่ยอยู่ที่ 8.2 ล้านลิตร/วัน ลดลง 14.9% และแก๊สโซฮอล์อี 20 มีปริมาณการใช้เฉลี่ยอยู่ที่ 6.3 ล้านลิตร/วัน ลดลง 2.5% ขณะที่แก๊สโซฮอล์ 95 มีปริมาณการใช้เฉลี่ยอยู่ที่ 14.6 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้น 5.7%
.
ส่วนการใช้น้ำมันกลุ่มดีเซล เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 65.1 ล้านลิตร/วัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 4.0 % โดยน้ำมันดีเซล หมุนเร็วธรรมดา (บี7) มีปริมาณการใช้เฉลี่ยอยู่ที่ 45.3 ล้านลิตร/วัน ลดลง27 % น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10มีปริมาณการใช้เฉลี่ยอยู่ที่ 13.3 ล้านลิตร/วัน (เริ่มมีการจำหน่ายตั้งแต่ปลายเดือนพ.ค.2562) และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 มีปริมาณการใช้เฉลี่ยอยู่ที่ 4.3 ล้านลิตร/วัน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายภาครัฐที่กำหนดให้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 เป็นน้ำมันดีเซลฐานของประเทศ จึงส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
.
สำหรับการใช้น้ำมันอากาศยานเชิงพาณิชย์ (Jet A1) เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 8.4 ล้านลิตร/วัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 56.6 % เนื่องจากยังคงอยู่ในช่วงมาตรการที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) อนุญาตให้บุคคลเฉพาะกลุ่ม เดินทางเข้าออกประเทศได้และต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดการควบคุมโรคติดต่ออย่างเคร่งครัด จึงส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันอากาศยานเชิงพาณิชย์ลดลงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าพบว่าความต้องการใช้ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องด้วยมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ
.
การใช้แอลพีจีเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 15.0 ล้านกก./วัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 16.4% โดยปริมาณการใช้ภาคขนส่งลดลงมากที่สุด มีปริมาณการใช้เฉลี่ยอยู่ที่ 2.1 ล้านกก./วัน ลดลง 27.2% รองลงมาเป็นภาคปิโตรเคมี มีปริมาณการใช้เฉลี่ยอยู่ที่ 5.9 ล้านกก./วัน ลดลง 20.8 % ถัดมาเป็นภาคอุตสาหกรรมมีปริมาณการใช้ลดลงเฉลี่ยอยู่ที่ 1.6 ล้านกก./วันลดลง13.3% และภาคครัวเรือนมีปริมาณการใช้ลดลงน้อยที่สุดเฉลี่ยอยู่ที่ 5.4 ล้านกก./วัน ลดลง 6.2%
.
การใช้เอ็นจีวีเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 3.8 ล้านกก./วัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน คิดเป็น 30.8% เนื่องจากภาครัฐมีนโยบายการปรับราคาขายปลีก เอ็นจีวี สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลทั่วไปเพื่อสะท้อนต้นทุน จึงทำให้ราคาเอ็นจีวี ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคหันไปใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์หรือน้ำมันดีเซลหมุนเร็วแทน
.
การนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง มีปริมาณรวมลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เฉลี่ยอยู่ที่ 900,063 บาร์เรล/วัน ลดลง9.6 % โดยมีปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 869,358 บาร์เรล/วัน ลดลง 5.0% คิดเป็นมูลค่าเฉลี่ย 39,024 ล้านบาท/เดือน เนื่องจากในเดือนส.ค.2563 ยังคงอยู่ในช่วงหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่น และโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศลดลง จึงส่งผลให้ปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบลดลงไปด้วย
.
สำหรับน้ำมันสำเร็จรูป เป็นการนำเข้าน้ำมันเบนซินพื้นฐาน น้ำมันดีเซลพื้นฐาน น้ำมันเตา น้ำมันอากาศยาน และ แอลพีจี โดยมีปริมาณนำเข้าลดลงเฉลี่ยอยู่ที่ 30,705 บาร์เรล/วัน ลดลง 61.5% คิดเป็นมูลค่านำเข้าเฉลี่ยรวม 1,444 ล้านบาท/เดือน
.
การส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป เป็นการส่งออกน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซลพื้นฐาน น้ำมันเตา น้ำมันอากาศยานและก๊าด และแอลพีจี โดยมีปริมาณส่งออกเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เฉลี่ยอยู่ที่ 197,684 บาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้น18.9 % คิดเป็นมูลค่าส่งออกรวมเฉลี่ย 8,770 ล้านบาท/เดือน