กระทรวงพลังงานชี้แจงค่าไฟฟ้าถูก-แพงต่างกันที่ต้นทุน ชี้เวียดนามถูกกว่าเพราะใช้ถ่านหิน

304
0
Share:
กระทรวงพลังงาน ชี้แจง ค่าไฟฟ้า ถูก-แพงต่างกันที่ต้นทุน ชี้เวียดนามถูกกว่าเพราะใช้ถ่านหิน

จากกรณีที่มีกระแสข่าวเกี่ยวกับอัตราค่าไฟฟ้าของประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนบางประเทศ นั้น นายสมภพ พัฒนอริยางกูล โฆษกกระทรวงพลังงาน ชี้แจงว่า กรณีของประเทศเวียดนาม ซึ่งถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงในขณะนี้ มีสัดส่วนหลักของการผลิตไฟฟ้ามาจากถ่านหิน ซึ่งมีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าก๊าซธรรมชาติที่ประเทศไทยใช้อยู่เป็นหลัก โดยราคาก๊าซธรรมชาติในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากในปีที่ผ่านมา

จากข้อมูลที่เผยแพร่โดยสื่อของประเทศเวียดนามคาดการณ์ว่าอาจมีการพิจารณาปรับค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น และไม่ได้มีการปรับอัตราค่าไฟฟ้ามาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2019 ทำให้ EVN ที่เป็นรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าประสบภาวะขาดทุนและได้ยื่นขอความเห็นชอบในการปรับค่าไฟฟ้าจากกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา

ทั้งนี้ อัตราค่าไฟฟ้าแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน มีอัตราค่าไฟฟ้าหลากหลายตามประเภทผู้ใช้ ปริมาณการใช้ และช่วงเวลา โดยภาพรวมเป็นผลมาจากปัจจัยที่ต่างกัน อาทิ เรื่องความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน เสถียรภาพของระบบไฟฟ้า และทรัพยากรที่มีในประเทศ ซึ่งส่งผลต่อประเภทของเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้า ตลอดจนทิศทางนโยบายของภาครัฐโดยเฉพาะหากพิจารณาในมิติความน่าเชื่อถือและความมั่นคงของระบบไฟฟ้าของไทย

โดยธนาคารโลก (World Bank) ได้สำรวจคุณภาพการบริการไฟฟ้าของกลุ่มอาเซียน ซึ่งหมายถึงค่าเฉลี่ยความถี่ที่ระบบเกิดไฟฟ้าขัดข้อง และค่าเฉลี่ยระยะเวลาที่ระบบเกิดไฟฟ้าขัดข้อง โดยพบว่าประเทศไทยมีดัชนีคุณภาพการบริการไฟฟ้าอยู่ในลำดับต้นๆ และดีกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศอาเซียนหลายเท่าตัว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมีเสถียรภาพและคุณภาพของระบบไฟฟ้า ทำให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมทำได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็เป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่มีส่วนช่วยในการตัดสินใจของนักลงทุน

นอกจากนี้ ด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อมและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยส่วนใหญ่มาจากก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสะอาด และมีเป้าหมายที่จะเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้าตามแผนพลังงานชาติ เพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี ค.ศ. 2050 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้ในปี ค.ศ.2065 ซึ่งถือเป็นวาระระดับสากลที่สอดรับกับทิศทางความต้องการของภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกที่มุ่งไปสู่การใช้เชื้อเพลิงสะอาด