ครม.เห็นชอบร่างกรอบความร่วมมือพัฒนาตลาดทุนไทย-สหรัฐ

716
0
Share:

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.เห็นชอบร่างกรอบความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการระดมทุนและการสร้างตลาดทุนเพื่อโครงสร้างพื้นฐานไทย-สหรัฐ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อระบบเศรษฐกิจและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของไทย
.
ทั้งนี้กระทรวงการคลังสหรัฐฯได้ยกร่างกรอบความร่วมมือขึ้น เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยกับสหรัฐฯในการพัฒนาตลาดเงิน (Financial markets)สำหรับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และเพื่อสนับสนุนการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน โดยคู่ภาคีจะร่วมมือเพื่อส่งเสริมการลงทุนและการทำงานร่วมกันในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
.
ได้แก่ 1.การพัฒนาและเพิ่มสภาพคล่องแก่ตลาดตราสารหนี้ // 2.การเสาะหาและคิดค้นเครื่องมือและโครงสร้างทางการเงินใหม่ ๆ เพื่อกระตุ้นการลงทุนจากภาคเอกชน // 3.การส่งเสริมนวัตกรรมและการพัฒนาที่ยั่งยืนจากการแบ่งปันองค์ความรู้และแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดจากกรณีศึกษาของนานาชาติ และ 4.การพัฒนาขีดความสามารถด้านการเงินและด้านเทคนิคต่างๆ ร่วมกัน
.
สำหรับแนวทางในการดำเนินงาน คือ คู่ภาคีจะจัดตั้งคณะทำงานร่วม ประกอบด้วย ผู้แทนอาวุโสของแต่ละฝ่าย เพื่อกำหนดแนวทางดำเนินการและศึกษาถึงโอกาสในการพัฒนาด้านต่าง ๆ ของโครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน ผ่านรูปแบบกิจกรรมความร่วมมือที่เน้นการฝึกอบรม การสัมมนาและหลักสูตรต่าง ๆ รวมถึงการสร้างความแข็งแกร่งของภาคีเครือข่าย ส่งเสริมความร่วมมือ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญและภาคเอกชนทั้งสองฝ่าย
.
นอกจากนี้ ความร่วมมือของทั้งสองฝ่าย จะมุ่งเน้นศึกษาและขจัดปัญหาและอุปสรรคในการเข้าถึงตลาดสำหรับการลงทุน ในโครงสร้างพื้นฐานของภาคเอกชน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของไทยและตามที่ได้ตกลงร่วมกัน
.
โดยการจัดทำร่างกรอบความร่วมมือฯในครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกของไทยที่ได้สร้างความร่วมมือในรูปแบบทวิภาคีกับต่างประเทศเพื่อส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน โครงสร้างพื้นฐานระหว่างกัน ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ไทยที่กำลังพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่รองรับการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เนื่องจากสหรัฐฯเป็นประเทศที่มีตลาดทุนขนาดใหญ่และมีนักลงทุนภาคเอกชนที่มีศักยภาพเหมาะแก่การระดมทุนเพื่อมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของไทย โดยปัจจุบันได้มีประเทศในภูมิภาคเอเชียที่ลงนามในกรอบความร่วมมือฯ กับสหรัฐอเมริกาแล้ว 3 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ เกาหลี และเวียดนาม