คาดการณ์น้ำมันดิบปีนี้อยู่ที่ 140 ดอลลาร์ แม้เศรษฐกิจสหรัฐถดถอย

298
0
Share:

ธนาคารโกลด์แมน แซคส์ ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ชื่อดังระดับโลกในสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันดิบคาดการณ์ในปี 2565 ของไนเม็กซ์ นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา จะอยู่ที่ระดับ 137 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล สอดคล้องกับราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ จะอยู่ที่ระดับ 140 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ท่ามกลางความเสี่ยงของเศรษฐกิจถดถอยที่กระทบนักลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ปีนี้ รวมถึงความกลัวที่เพิ่มมากขึ้นอาจนำไปสู่ความต้องการที่ทรุดต่ำลงอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม ความต้องการน้ำมันดิบที่จะตกต่ำลงนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ภาวะเศรษฐกิจถดถอยปานกลางไม่ได้เป็นความเสี่ยงต่อสินค้าโภคภัณฑ์ นอกจากนี้ เมื่อจีนเปิดเศรษฐกิจด้วยการผ่อนคลาย หรือยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ ย่อมทำให้ราคาน้ำมันดิบกลับมาเพิ่มสูงขึ้น

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2565 ซึ่งผ่านสงครามรัสเซียกับยูเครนเกิดขึ้นมาได้เพียง 2 สัปดาห์ ธนาคารโกลด์แมน แซคส์ เปิดเผยว่า ไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่า ความขัดแย้งนี้และภาวะขาดแคลนน้ำมันจะแก้ไขได้อย่างไร เพราะสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำเนียบขาวสหรัฐเพิ่งประกาศคว่ำบาตรการนำเข้าน้ำมันรัสเซียเมื่อวันอังคารตามเวลาสหรัฐ ขณะที่สหราชอาณาจักรจะทยอยยกเลิกนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียภายในสิ้นปีนี้ หากชาติตะวันตกอื่นๆ ดำเนินรอยตาม ราคาน้ำมันดิบโลกอาจแตะบาร์เรลละ 240 ดอลลาร์สหรัฐ ในฤดูร้อนนี้ เพราะน้ำมันรัสเซียจะหายไปจากตลาดโลกวันละ 4.3 ล้านบาร์เรล และไม่สามารถหาทดแทนจากแหล่งอื่นได้อย่างรวดเร็ว เศรษฐกิจโลกอาจเผชิญภาวะ “ออยล์ ช็อก” ร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่ง

ธนาคารโกลด์แมน แซคส์ คาดว่า วิกฤตรัสเซีย-ยูเครนอาจทำให้น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันที่รัสเซียส่งออกทางทะเลหายไปวันละ 3 ล้านบาร์เรล หากสถานการณ์ยืดเยื้อ โลกจะประสบภาวะพลังงานสะดุดในรอบ 1 เดือนร้ายแรงเป็นอันดับ 5 รองจากเหตุพลังงานสะดุดเพราะการคว่ำบาตรน้ำมันอาหรับปี 2516 การปฏิวัติอิสลามอิหร่านปี 2521 สงครามอิรัก-อิหร่านปี 2523 และสงครามอิรัก-คูเวตปี 2533 ตลาดน้ำมันโลกจะไม่มีสิ่งรองรับผลกระทบ แม้ว่าหลายประเทศจะปล่อยน้ำมันสำรองฉุกเฉิน และกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันหรือโอเปกจะเพิ่มกำลังการผลิต โลกจะถูกบีบให้ลดการใช้น้ำมัน ซึ่งจะกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ