ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดดำดิ่งกว่า 300 จุด น้ำมันดิบโลกปิดทรุดหลุด 77 ดอลลาร์

264
0
Share:
ดัชนี หุ้น ดาวโจนส์ ปิดดำดิ่งกว่า 300 จุด น้ำมันดิบโลกปิดทรุดหลุด 77 ดอลลาร์

เมื่อวันที่ 26กันยายน 2565 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 29,260 จุด -329 จุด หรือ -1.11% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 3,655 จุด -38 จุด หรือ -1.03% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 10,802 จุด -65 จุด หรือ -0.60% ทำให้ตลาดหุ้นนิวยอร์คปิดติดลบถึง 5 วันทำการติดต่อกัน ส่งผลให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดต่ำสุดครั้งใหม่ตั้งแต่ต้นปีนี้ และปิดหลุดระดับ 30,000 จุดเป็นวันทำการที่ 2 ติดกัน นอกจากนี้ ดัชนีหุ้นดังกล่าวหลุดระดับ 30,000 จุดในรอบ 3 เดือนกว่า หรือนับตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายนผ่านมา ที่สำคัญดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดดำดิ่งถึง -20% เมื่อเทียบกับสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงผ่านมา ทำให้เข้าสู่ภาวะตลาดหมี หรือ Bear Market สมบูรณ์แบบ ไม่เพียงเท่านั้น ดัชนีหุ้นดังกล่าวปิดร่วงถึง -1.11% ทำสถิติเลวร้ายที่สุดในรอบ 1 ปี 10 เดือน หรือตั้งแต่ 12 พฤศจิกายน 2020

ด้านดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดต่ำสุดนับตั้งแต่ต้นปีนี้ และเข้าสู่ภาวะหมี หรือ Bear Market อย่างสมบูรณ์แบบ รวมถึงยังปิดติดลบถึง 5 วันทำการติดต่อกันนานที่สุดในรอบ 2 เดือนกว่า หรือนับตั้งแต่ 1 กรกฎาคมผ่านมา ขณะที่ดัชนีหุ้นนาสแดคดำดิ่งมากถึง -33% จากสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ในสัปดาห์ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่งดำดิ่งถึง -4.00%, -4.65% และ -5.07% ตามลำดับ ส่งผลเป็นดัชนีหุ้นรายสัปดาห์ที่ร่วงติดลบเป็นสัปดาห์ที่ 5 ใน 6 สัปดาห์ผ่านมา

สาเหตุจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด 0.75% เป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน ทำสถิติการขึ้นดอกเบี้ยถึง 0.75% ที่ยาวนานในประวัติศาสตร์ของเฟด และเป็นการปรับขึ้นครั้งที่ 5 ติดต่อกันนับตั้งแต่เดือนมีนาคมของปีนี้ ส่งผลอัตราดอกเบี้ยขึ้นมาอยู่ระหว่าง 3.00-3.25% ทำสถิติสูงสุดในรอบ 14 ปี หรือนับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจสถาบันการเงินล่มสลายในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2018

นักวิเคราะห์ประเมินว่าอาจทำให้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดจะขึ้นไปถึงระดับ 4.25-4.50% สิ้นสุดปีนี้ ที่สำคัญ เฟดส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวถึงระดับ 4.50-4.75% ในปี 2566

นอกจากนี้ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับ 114.527 ทำสถิติสูงสุดในรอบ 20 ปีครั้งใหม่ หรือนับตั้งแต่ปี 2002 เป็นต้นมา หลังจากที่เคยขึ้นไปถึงระดับ 111 ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐทะยานแข็งค่ามากกว่า 16% ตั้งแต่ต้นปีนี้ รวมถึงวิกฤตค่าเงินปอนด์สเตอริงเทียบเงินดอลลาร์สหรัฐที่ตกต่ำมากเป็นประวัติศาสตร์ในคืนผ่านมา

ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 76.71 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -2.06 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -2.3% ทำสถิติราคาปิดต่ำสุดนับตั้งแต่ 6 มกราคม หรือในรอบ 8 เดือน 2 สัปดาห์ ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาพุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 84.06 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -2.09 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -2.4% ทำสถิติราคาปิดต่ำสุดนับตั้งแต่ 14 มกราคม หรือในรอบ 8 เดือน 2 สัปดาห์ ก่อนหน้านี้ ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ในสัปดาห์ผ่านไป ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกทั้ง 2 แห่งดำดิ่งถึง -6% และ -7% ตามลำดับ ส่งผลเป็นราคาน้ำมันดิบรายสัปดาห์ที่ติดลบเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน ทำสถิติเป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือน หรือนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2564 นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกทั้ง 2 แห่งเข้าสู่ภาวะขายเกินปัจจัยพื้นฐาน

สาเหตุจากนักลงทุนมีความกังวลสูงมากกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐที่จะซบเซาหนัก ด้านสตีฟ ฮันเก้ ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอพกิ้นส์ สหรัฐอเมริกา ประเมินโอกาสพุ่งเป็น 80% ที่เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะเกิดถดถอยในโลกแท้จริง ภาวะเงินเฟ้อที่อยู่ระดับสูงต่อเนื่อง การปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นสูงต่อไปในอนาคต ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งทะยานสูงสุดครั้งใหม่ในรอบ 20 ปี

ราคาทองคำล่วงหน้านิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 1,631.40 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ -19.60 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ -1.5% ทำสถิติราคาปิดต่ำสุดในรอบ 2 ปี 4 เดือนครึ่ง หรือนับตั้งแต่อเมษายนปี 2020 เป็นต้นมา ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนมีนาคม 2565 ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2020 หรือในรอบ 18 เดือน

สาเหตุจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งแข็งค่ามากขึ้น และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริการะยะ 2 ปี และ 10 ปี พุ่งสูงขึ้นทำสถิติครั้งใหม่ สะท้อนความกังวลอย่างรุนแรงมากขึ้นกับแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาถดถอยรุนแรง