ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดดิ่งระนาวเกือบ 500 จุด น้ำมันดิบโลกปิดต่ำกว่า 83 ดอลลาร์

223
0
Share:
ดัชนี หุ้น ดาวโจนส์ ปิดดิ่งระนาวเกือบ 500 จุด น้ำมันดิบโลกปิดต่ำกว่า 83 ดอลลาร์

เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2565 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 33,947 จุด -482 จุด หรือ -1.40% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 3,998 จุด -72 จุด หรือ -1.79% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 11,239 จุด -221 จุด หรือ -1.93% ในสัปดาห์ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่งปรับเพิ่มขึ้น +0.2%, +1.1% และ +2.1% ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังทำสถิติดัชนีหุ้นรายสัปดาห์ปิดแดนบวกติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 2 เป็นครั้งแรกในรอบ 1 เดือน หรือตั้งแต่ตุลาคมผ่านมา

สาเหตุจากดัชนีภาคบริการ หรือ ISM เดือนพฤศจิกายนในสหรัฐอเมริกา ทะยานขึ้นถึง 56.5% ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ระดับ 53.7% นอกจากนี้ ยังเพิ่มสูงขึ้นจากเดือนตุลาคมถึง 2.1% และยังเป็นดัชนีภาคบริการที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องถึงเดือนที่ 30 ติดต่อกัน ด้านดัชนีการนำเข้าสหรัฐอเมริกาในเดือนเดียวกันทะยานขึ้นถึง 9.1% มาอยู่ที่ระดับ 59.5% ทั้งหมดทำให้นักลงทุนกังวลครั้งใหม่ว่าธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาอาจจะยังคงปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นอย่างรุนแรงในการประชุมวันที่ 13-14 ธันวาคมนี้ ขณะที่ ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกถูกเทขายมากกว่า 3% ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานลงหนัก

ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 76.93 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -3.05 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -3.8% ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาพุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 82.68 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -2.89 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -3.4% ก่อนหน้านี้ ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ในสัปดาห์ผ่านไป ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกทั้ง 2 แห่ง ปรับเพิ่มขึ้น +5% และ +2.5% ตามลำดับ ส่งผลเป็นราคาน้ำมันดิบรายสัปดาห์ปิดในแดนบวกครั้งแรกในรอบ 3 สัปดาห์ผ่านมา

สาเหตุจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่ประกาศในคืนผ่านมาล้วนปรับขึ้นสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ได้แก่ ดัชนีภาคบริการ ตัวเลขการนำเข้า ตัวเลขการจ้างงาน ส่งผลกดดันธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาอาจหวนกลับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นแรงกว่าที่คาดการณ์ นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพลิกกลับแข็งค่าขึ้น สอดคล้องกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอายุ 10 ปี เพิ่มสูงขึ้นเหนือกว่า 3% กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ของโลกทั้ง 7 ประเทศ หรือกลุ่มจี 7 ประกาศการประกาศใช้มาตรการจำกัดเพดานราคาน้ำมันดิบที่ขนส่งทางทะเลจากประเทศรัสเซียที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล มีผลตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคมนี้

ราคาทองคำล่วงหน้านิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 1,780.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ -29.10 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ -1.6% หลังจากเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พบว่าทองคำล่วงหน้าปิดขึ้นทำสถิติสูงสุดในรอบเกือบ 4 เดือน หรือตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา ในสัปดาห์ผ่านไป ราคาทองคำปรับขึ้น +2.2% และยังเป็นราคาทองคำรายสัปดาห์ที่เพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกันด้วย

ก่อนหน้านี้ ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมีนาคม 2565 ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2020 หรือในรอบ 18 เดือน

สาเหตุจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพลิกกลับแข็งค่าหลังร่วงอย่างหนักในรอบกว่า 4 เดือน สอดรับกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นที่กลับมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพฤศจิกายนในสหรัฐอเมริกาสูงกว่าที่คาดไว้มาก สร้างแรงกดดันต่อการตัดสินใจของเฟดในการประชุมการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นในวันที่ 13-14 ธันวาคมนี้

ขณะนี้ ตัวชี้วัดที่เรียกว่า เฟด ฟันด์ ฟิวเจอร์ หรือโอกาศการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นที่ 0.50% ของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาในการประชุมวันที่ 13-14 ธันวาคมนี้อยู่ที่ 75%