ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดทะยานถึงกว่า 540 จุด น้ำมันดิบโลกปิดพุ่งขึ้นใกล้ 90 ดอลลาร์

245
0
Share:
ดัชนี หุ้น ดาวโจนส์ ปิดทะยานถึงกว่า 540 จุด น้ำมันดิบโลกปิดพุ่งขึ้นใกล้ 90 ดอลลาร์

เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2565 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 29,683 จุด +548 จุด หรือ +1.88% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 3,719 จุด +71 จุด หรือ +1.97% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 11,051 จุด +222 จุด หรือ +2.05% ทำให้ตลาดหุ้นนิวยอร์คหยุดสถิติปิดติดลบถึง 6 วันทำการติดต่อกัน

ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงระหว่างวันที่ 20-23 และวันที่ 26-27 กันยายนที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดต่ำสุดครั้งใหม่ตั้งแต่ต้นปีนี้ และปิดหลุดระดับ 30,000 จุดเป็นวันทำการที่ 3 ติดกัน นอกจากนี้ ดัชนีหุ้นดังกล่าวหลุดระดับ 30,000 จุดในรอบ 3 เดือนกว่า หรือนับตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายนผ่านมา ที่สำคัญดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดดำดิ่งถึง -21.2% เมื่อเทียบกับสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงผ่านมา ทำให้เข้าสู่ภาวะตลาดหมี หรือ Bear Market เป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน

ด้านดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดต่ำสุดนับตั้งแต่ต้นปีนี้เป็นวันที่ 2 ต่อเนื่อง และเข้าสู่ภาวะหมี หรือ Bear Market อย่างสมบูรณ์แบบถึง 2 วันติดกัน เนื่องจากดำดิ่งถึง -24.7% จากวันที่ 4 มกราคม 2565 ซึ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้เกิดสถิติดัชนีหุ้นดำดิ่งในภาวะหมีนานที่สุดในรอบ 6 ปี 6 เดือน หรือนับตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2016 และมากที่สุดในรอบ 2 ปี 6 เดือน หรือนับตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2020 รวมถึงยังปิดติดลบถึง 6 วันทำการติดต่อกันนานที่สุดในรอบ 2 เดือนกว่า หรือนับตั้งแต่ 1 กรกฎาคมผ่านมา ขณะที่ดัชนีหุ้นนาสแดคดำดิ่งมากถึง -33.2% จากสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

สาเหตุที่ตลาดหุ้นนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ปิดทะยานขึ้นในคืนผ่านมา เนื่องจากธนาคารกลางอังกฤษประกาศใช้มาตรการเข้าซื้อพันธบัตรเพื่อแก้ปัญหาตลาดพันธบัตรตกต่ำอย่างรุนแรง และพยุงค่าเงินปอนด์สเตอริงที่ดำดิ่งเป็นประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอายุ 10 ปี ร่วงลงอย่างรวดเร็ว หลังจากพุ่งขึ้นทำสถิติแตะ 4% สูงสุดในรอบ 20 ปีเมื่อคืนวานก่อนหน้านี้

ถึงแม้ว่าดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่งจะฟื้นตัวอย่างคึกคัก แต่ในแง่ดัชนีหุ้นรายเดือนกลับพบว่า เป็นดัชนีหุ้นที่ตกต่ำย่ำแย่ในรอบเกือบ 3 เดือนหรือนับตั้งแต่มิถุนายนที่ผ่านมา โดยทรุดต่ำลง -5.8%, -5.9% และ -6.9% ตามลำดับ ที่สำคัญในแง่รายไตรมาส พบว่า ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ดิ่งลง -3.55% ร่วงเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกัน ทำสถิติเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี หรือนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2015 ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ร่วง -1.75% ตกต่ำเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกัน ทำสถิติเป็นครั้งแรกในรอบ 13 ปี 6 เดือน หรือนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ปี 2009 ซึ่งในช่วงเวลานั้น ดัชนีหุ้นดังกล่าวดำดิ่งถึง 6 ไตรมาสติดต่อกัน ส่วนดัชนีหุ้นนาสแดคกลับกระเตื้องขึ้นเบาบาง +0.2% แต่ยังคงทำสถิติตกต่ำถึง 2 ไตรมาสติดต่อกัน ดัชนีสำคัญทั้ง 3 แห่ง เมื่อนับตั้งแต่ต้นปีนี้ พบว่า ยังคงดำดิ่งมากถึง -18.31%, -21.97% และ 29.36% ตามลำดับ

สำหรับในเดือนกันยายน ซึ่งเหลือวันซื้อขายอีกเพียง 2 วันกีอนจะถึงสิ้นเดือนนี้ ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่งในภาพรวมถูกกระหน่ำเทขายอย่างรุนแรง ทำให้มีดัชนีหุ้นดำดิ่งหนักมากถึง -5.8%, -5.97% และ -6.47% ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยลบยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง จากการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด 0.75% เป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน ทำสถิติการขึ้นดอกเบี้ยถึง 0.75% ที่ยาวนานในประวัติศาสตร์ของเฟด และเป็นการปรับขึ้นครั้งที่ 5 ติดต่อกันนับตั้งแต่เดือนมีนาคมของปีนี้ ส่งผลอัตราดอกเบี้ยขึ้นมาอยู่ระหว่าง 3.00-3.25% ทำสถิติสูงสุดในรอบ 14 ปี หรือนับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจสถาบันการเงินล่มสลายในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2018

นักวิเคราะห์ประเมินว่าอาจทำให้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดจะขึ้นไปถึงระดับ 4.25-4.50% สิ้นสุดปีนี้ ที่สำคัญ เฟดส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวถึงระดับ 4.50-4.75% ในปี 2566

ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 82.15 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +3.65 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +4.7% ก่อนหน้านี้ทำสถิติราคาปิดต่ำสุดนับตั้งแต่ 6 มกราคม หรือในรอบ 8 เดือน 2 สัปดาห์ ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาพุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 89.32 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +3.05 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +3.5% ก่อนหน้านี้ทำสถิติราคาปิดต่ำสุดนับตั้งแต่ 14 มกราคม หรือในรอบ 8 เดือน 2 สัปดาห์ ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ในสัปดาห์ผ่านไป ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกทั้ง 2 แห่งดำดิ่งถึง -6% และ -7% ตามลำดับ ส่งผลเป็นราคาน้ำมันดิบรายสัปดาห์ที่ติดลบเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน ทำสถิติเป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือน หรือนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2564 นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกทั้ง 2 แห่งเข้าสู่ภาวะขายเกินปัจจัยพื้นฐาน

สาเหตุจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงอย่างรวดเร็ว ปริมาณสำรองน้ำมันดิบรายสัปดาห์ในสหรัฐอเมริกาลดลงมากเกินคาดหมาย แท่นขุดเจาะน้ำมันดิบในอ่าวเม็กซิโกปิดตัวลงเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากพายุเฮอริเคนเอียนที่มีกำลังแรงระดับ 3 ส่งผลกำลังการผลิตน้ำมันดิบลดลง -11% จากภาวะปกติ นอกจากนี้ ธนาคารโกลด์แมน แซคส์ ปรับลดราคาน้ำมันดิบตลาดโลกลงถึง 19 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในอีก 12 เดือนข้างหน้า

ราคาทองคำล่วงหน้านิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 1,670 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ +34.40 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ +2.1%

ก่อนหน้านี้ ราคาทองคำมีราคาใกล้เคียงสถิติราคาปิดต่ำสุดในรอบ 2 ปี 4 เดือนครึ่ง หรือนับตั้งแต่อเมษายนปี 2020 เป็นต้นมา ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมีนาคม 2565 ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2020 หรือในรอบ 18 เดือน

สาเหตุจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงและผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริการะยะ 2 ปี และ 10 ปี ปรับลดลงหลังจากก่อนหน้านี้ทำสถิติครั้งใหม่ สะท้อนภาวะทำกำไรค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางความกังวลอย่างรุนแรงมากขึ้นกับแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาถดถอยรุนแรง