ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดพุ่งกระฉูดกว่า 820 จุด น้ำมันดิบโลกปิดพุ่งเหนือ 91 ดอลลาร์

242
0
Share:
ดัชนี หุ้น ดาวโจนส์ ปิดพุ่งกระฉูดกว่า 820 จุด น้ำมันดิบโลกปิดพุ่งเหนือ 91 ดอลลาร์

เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2565 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 30,316 จุด +825 จุด หรือ +2.80% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 3,790 จุด +112 จุด หรือ +3.06% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 11,176 จุด +360 จุด หรือ +3.34% ทำให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ และเอสแอนด์พี 500 ปิดพุ่งขึ้นดีที่สุดในรอบ 3 เดือนครึ่ง หรือตั้งแต่ 24 มิถุนายน และ ในรอบ 2 เดือน หรือตั้งแต่ 27 กรกฎาคม ตามลำดับ นอกจากนี้ ในช่วง 2 วันทำการติดต่อกัน ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดพุ่งทะยาน +1,590 จุด, +204 จุด และ +599 จุด ตามลำดับ

โดยเฉพาะดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ทำสถิติพุ่งขึ้น 2 วันติดต่อกันที่มากที่สุดในรอบ 2 ปี 6 เดือน หรือตั้งแต่มีนาคม 2020

ในสัปดาห์ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่งดำดิ่งหนักมากถึง -2.9%, -2.9% และ -2.7% ตามลำดับ สำหรับในเดือนกันยายน พบว่าดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่งดำดิ่งหนักมากถึง -8.8%, -9.3% และ -10.5% ตามลำดับ ส่งผลดัชนีหุ้นดาวโจนส์เป็นดัชนีหุ้นที่ตกต่ำย่ำแย่ในรอบเกือบ 2 ปี 6 เดือนหรือนับตั้งแต่มีนาคมปี 2020 ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 เป็นดัชนีหุ้นที่ตกต่ำย่ำแย่ในรอบ 3 เดือนหรือนับตั้งแต่มิถุนายนที่ผ่านมา และดัชนีหุ้นนาสแดคเป็นดัชนีหุ้นที่ตกต่ำย่ำแย่ในรอบ 5 เดือนหรือนับตั้งแต่เมษายนที่ผ่านมา

ที่สำคัญ ดัชนีหุ้นดาวโจนส์เดือนกันยายนปี 65 กลายเป็นดัชนีดาวโจนส์เดือนกันยายนที่เลวร้ายที่สุดเมื่อเทียบกับในเดือนกันยายนเมื่อปี 2008 หรือตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2008 ขณะที่ดัชนีหุ้นนาสแดคเดือนกันยายนเข้าสู่ภาวะปรับฐานรายเดือน หรือ Correction

ในแง่รายไตรมาส พบว่า ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ดิ่งลง -6.7% ร่วงเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกัน ทำสถิติเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี หรือนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2015 ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ร่วง -5.3% ตกต่ำเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกัน ทำสถิติเป็นครั้งแรกในรอบ 13 ปี 6 เดือน หรือนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ปี 2009 ซึ่งในช่วงเวลานั้น ดัชนีหุ้นดังกล่าวดำดิ่งถึง 6 ไตรมาสติดต่อกัน ส่วนดัชนีหุ้นนาสแดคกลับกระเตื้องขึ้นเบาบาง -4.1% ทำสถิติตกต่ำถึง 3 ไตรมาสติดต่อกัน เป็นครั้งแรกในรอบ 13 ปี 6 เดือน หรือนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ปี 2009

ในแง่นับตั้งแต่ต้นปีมาถึงปัจจุบัน ดัชนีสำคัญทั้ง 3 แห่ง พบว่า ยังคงดำดิ่งอย่างรุนแรงมากถึง -20.02%, -23.48% และ -30.87% ตามลำดับ

สาเหตุจากนักลงทุนมองมุมบวกกับการประเมินแนวโน้มการคาดการณ์ผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ของบริษัทในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาในทิศทางที่ดีขึ้น ท่ามกลางการทยอยการประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ที่มีทิศทางลดต่ำลงจากปัจจัยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นรุนแรงและต่อเนื่อง รวมถึงเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง

ด้านตัวเลขการรับสมัครงานใหม่เดือนกันยายนในสหรัฐอเมริกาลดลงถึง 1.1 ล้านตำแหน่ง สะท้อนผลกระทบจากภาวะการเร่งขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ทำให้นักลงทุนประเมินว่าเฟดอาจทบทวนการขึ้นดอกเบี้ยที่ลดความรุนแรงลง

นอกจากนี้ ปัจจัยสำคัญอื่นๆ คือ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐลดลงต่อเนื่องมาอยู่ระดับ 110.06 หลังจากในสัปดาห์ที่แล้วพุ่งทะยานแตะระดับ 114.78 สูงสุดครั้งใหม่ในรอบ 20 ปี ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอายุ 10 ปี ลดลงจากสถิติแตะ 4% สูงสุดในรอบ 20 ปีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มาอยู่ในระดับต่ำสุดใน 1 สัปดาห์ที่ระดับ 3.65%

ราคาหุ้นทวิตเตอร์กลับมาคึกคัก หลังจากอีลอน มัสค์ ซีอีโอเทสล่า ประกาศจะกลับมาซื้อกิจการทวิตเตอร์ในราคาเดิมที่เสนอไว้ ด้านหุ้นธนาคารเครดิต สวิส กรุ๊ป เอจี ฟื้นตัวขึ้นอย่างคึกคักหลังจากถูกถล่มเทขายอย่างหนักเมื่อวานก่อนหน้านี้

ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 86.52 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +2.89 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +3.5% ส่งผล 2 วันทำการติดกัน ราคาปิดพุ่งขึ้น 7.03 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ +9.32% ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาพุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 91.80 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +2.94 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +3.3% ส่งผล 2 วันทำการติดกัน ราคาปิดพุ่งขึ้น 6.76 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ +7.7% ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ในสัปดาห์ผ่านไป ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกทั้ง 2 ปรับเพิ่มขึ้น +1% และ +2% ตามลำดับ ส่งผลเป็นราคาน้ำมันดิบรายสัปดาห์ที่เพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 2 เดือน หรือนับตั้งแต่สิงหาคมผ่านมา ในแง่รายไตรมาส พบว่าราคาน้ำมันดิบตลาดโลกทั้ง 2 แห่ง ดำดิ่งมากถึง -25% และ -23% ตามลำดับ

สาเหตุจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐถูกเทขายทำกำไรต่อเนื่อง แนวโน้มกลุ่มโอเปกพลัสจะลดกำลังการผลิตกว่าวันละ 1 ล้านบาร์เรลในการประชุมวันที่ 5 ตุลาคมนี้ และบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกากลับมาคึกคักเป็นวันที่ 2 ติดต่อกันใน 2 วันทำการแรกของเดือนตุลาคม นอกจากนี้ กลุ่มจี 7 เตรียมประกาศใช้มาตรการคว่ำบาตรพลังงานกับรัสเซีย 3 ระยะ เริ่มแรกน้ำมันดิบ น้ำมันดีเซล และนาพทา

ราคาทองคำล่วงหน้านิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 1,734.80 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ +25.90 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ +1.90% ทำสถิติราคาทองคำปิดสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ หรือนับตั้งแต่ 13 กันยายนผ่านมา ขณะที่เมื่อวานนี้ ราคาทองคำพุ่งทะยานสูงสุดใน 1 วันทำการ ในรอบ 7 เดือน หรือนับตั้งแต่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา รวม 2 วันทำการติดต่อกัน พบว่าราคาทองคำพุ่งทะยานถึง 65.70 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

ก่อนหน้านี้ ราคาทองคำมีราคาใกล้เคียงสถิติราคาปิดต่ำสุดในรอบ 2 ปี 4 เดือนครึ่ง หรือนับตั้งแต่อเมษายนปี 2020 เป็นต้นมา ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมีนาคม 2565 ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2020 หรือในรอบ 18 เดือน

สาเหตุจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐถูกเทขายอ่อนค่า และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริการะยะ 2 ปี และ 10 ปี ปรับลดลงต่ำสุดในรอบ 1 สัปดาห์ ประกอบกับราคาทองคำมีราคาตกต่ำและอยู่ในระดับต่ำมาต่อเนื่องในทั้งสัปดาห์ที่ผ่านไป