ถนัดช่วงสั้น! ทีดีอาร์ไอชี้ยุคประยุทธ์ 7 ปีผ่าน จัดงบกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงสั้น แก้คนฐานรากไม่ยั่งยืน

389
0
Share:

นายนณริฏ พิศลยบุตรนักวิชาการอาวุโสด้านนโยบายเศรษฐกิจส่วนรวมและเศรษฐศาสตร์ประยุกต์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ เปิดเผยว่า นโยบายเศรษฐกิจภายใต้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในช่วงระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ปี 2557-2563 เมื่อพิจารณาจากดุลการคลังรอบ 7 ปี ที่ผ่านมานั้น ใช้นโยบายการขาดดุลงบประมาณต่อเนื่อง เพราะรัฐบาลมีรายจ่ายเกินรายได้ และมีแนวโน้มขาดดุลมากขึ้น เห็นได้จากตั้งแต่ปี 2557-2559 ขาดดุลงบประมาณ 3-4 แสนล้านบาท ช่วงปี 2560-2562 ขาดดุลเพิ่มมาเป็นเกือบ 5 แสนล้านบาทต่อปีโดยเฉลี่ย

.

การใช้จ่ายเงินของรัฐบาลนอกจากงบประมาณประจำ แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
1.เงินกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น
2.เงินลงทุนเพื่อเศรษฐกิจระยะยาว

ส่วนแรกเน้นกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นแบบปีต่อปี พบว่า รูปแบบการกระตุ้นเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงจากแนวทางพรรคเพื่อไทยที่เน้นกลุ่มเกษตรกรมาเป็นแนวประชารัฐที่ให้ประโยชน์กับกลุ่มคนที่หลากหลายกว่า

.

ทั้งนี้ นัยต่อสังคมอาจไม่เทียบได้ว่ารูปแบบไหนดีกว่า เพราะการเน้นที่เกษตรกรมีปัญหาการจัดการและเกษตรกรบางคนไม่ยากจน ในขณะที่การช่วยเหลือในวงกว้างผ่านโครงการ เช่น ชิม ช็อป ใช้ หรือ ช็อปช่วยชาติ มีความน่ากังวลว่าธุรกิจรายใหญ่และคนที่มีฐานะที่ไม่ควรได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐก็ได้ประโยชน์ด้วย ซึ่งทำให้เกิดการท้วงติงหลายครั้งว่านโยบายการเศรษฐกิจบางช่วงไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย

สำหรับมาตรการทางสังคมที่รัฐบาลนี้ทำได้ดี คือ การออกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ทำให้ภาครัฐช่วยเหลือกลุ่มคนยากจนได้ตรงเป้ามากขึ้น แม้ในภาคปฏิบัติยังต้องปรับปรุงวิธีการดำเนินงานพอสมควร แต่เป็นแนวทางใหม่ที่ช่วยเหลือคนจนในไทยได้มากและนโยบายลักษณะนี้ตรงกลุ่มกว่าการหว่านเม็ดเงินลงให้ทุกกลุ่ม

.

ส่วนมาตรการระยะยาวของรัฐบาลนี้ ยังคงต้องพิสูจน์ตัวเองอย่างมาก เพราะยังประสบความสำเร็จในระดับที่จำกัด ตั้งแต่แผนการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดน หรือ Special economic zone ระหว่างไทยกับประเทศที่มีพรมแดนติดกันที่ไม่ประสบความสำเร็จ

นอกจากนี้ เมื่อรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เจอปัญหาโควิด สิ่งที่เกิดขึ้นและประชาชนมองเห็นสะท้อนให้เห็นถึงปัญหารัฐบาลที่ไม่เป็นเอกภาพในการจัดการ ซึ่งต้องอาศัยการสอดประสานระหว่าง มาตรการด้านสาธารณสุข (การควบคุมการแพร่ระบาด การจัดหาและการฉีดวัคซีน) มาตรการด้านเศรษฐกิจเพื่อประคองให้เศรษฐกิจและประชาชนอยู่รอด

.

สำหรับการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ ต้องทำ 2 แนวทางควบคู่กัน คือ
1.การช่วยเหลือคนฐานล่างให้เข้มแข็งขึ้น
2.การลดความเหลื่อมล้ำที่ไม่เป็นธรรมในส่วนบนให้ลดลง

รัฐบาลนี้แก้ไขในส่วนฐานล่างได้อย่างจำกัดและไม่ยั่งยืน คือ เน้นการแจกเงินช่วยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งไม่ได้มีประสิทธิภาพเท่ากับการทำให้คนฐานล่างยืนและพัฒนาได้ด้วยตนเอง นอกจากนี้ การปฏิรูปการศึกษาเห็นกรณีที่พยายามสร้างเขตเศรษฐกิจการศึกษาเพื่อทดลองหาแนวทางการพัฒนา แต่ยังไม่แน่ชัดว่าจะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในวงกว้างหรือไม่

.

สำหรับการปฏิรูปจากส่วนบน ภาครัฐมีการออกภาษีที่ดิน ภาษีมรดกที่เป็นเครื่องที่ดี แต่ในแง่ปฏิบัติยังมีช่องโหว่ให้หลีกเลี่ยงภาษีได้ไม่ยาก เช่น การทำเกษตรในพื้นที่ใจกลางเมือง
นอกจากนี้ ภาครัฐยังไม่สามารถควบคุมให้ธุรกิจหลายประเภทมีอำนาจผูกขาด ทำให้เกิดการใช้อำนาจตลาดสร้างความเหลื่อมล้ำให้มากขึ้น และยังไม่สามารถพัฒนาการแข่งขันที่โปร่งใส และเป็นธรรมในการได้รับสัมปทานจากภาครัฐ ทำให้เกิดการแสวงหาค่าเช่าส่วนเกินทางเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม ซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำอีกด้วย