ทีทีบี ประเมินยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 2566 ยังโตต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของศก.ในประเทศ

367
0
Share:
ทีทีบี ประเมิน ยอดขายรถยนต์ ในประเทศปี 2566 ยังโตต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของ เศรษฐกิจ ในประเทศ

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ประเมินว่า ปี 2566 ยอดขายรถยนต์ในประเทศจะอยู่ที่ 9.3 แสนคัน ปรับเพิ่มขึ้น 8.1% จากปี 2565 ที่ประเมินว่ายอดขายจะอยู่ที่ 8.6 แสนคัน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัว การเปิดประเทศทำให้การท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัว ภาคเกษตรยังเติบโตต่อเนื่อง ชี้ราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นจะกระตุ้นความต้องการด้านเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าของผู้บริโภคพุ่งขึ้น แต่ยังห่วงปัจจัยฉุดรั้ง ค่าครองชีพเพิ่มขึ้นและหนี้ภาคครัวเรือนสูงที่ต้องติดตามทิศทางยอดขายรถยนต์ในประเทศเริ่มฟื้นตัวกลับเข้ามาสู่ระดับปกติอีกครั้ง ภายหลังจากได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วงปี 2563-2564 ที่ยอดขายหดตัว -21.4% และ -4.0% ตามลำดับ

โดยในช่วงเดือนมกราคม – ตุลาคม 2565 ยอดขายรถยนต์สะสมอยู่ 698,305 แสนคัน หรือขยายตัวเพิ่มขึ้น 16.0% โดยรถยนต์พาณิชย์ขยาย 21.4% ในขณะที่รถยนต์นั่งขยายตัว 9.0% เหตุจากการบริโภคภายในประเทศที่ค่อย ๆ ฟื้นตัว ประกอบกับการเปิดประเทศ ทำให้ภาคท่องเที่ยวกลับมาเดินหน้าได้อีกครั้ง ทั้งนี้ ttb analytics คาดว่าในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2565 ยอดขายรถยนต์จะเร่งขึ้น จากการกระตุ้นยอดขายจากงานมอเตอร์เอ็กซ์โปช่วงสิ้นปี ทำให้คาดว่ายอดขายรถยนต์ในประเทศปี 2565 จะอยู่ที่ 8.6 แสนคัน หรือ ปรับเพิ่มขึ้น 13.3%

ttb analytics คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2566 จะขยายตัว 7% จากที่ขยายตัว 3.2% ในปี 2565 รวมถึงภาคท่องเที่ยวฟื้นตัว คาดว่าในปี 2566 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวไทยจำนวน 5 ล้านคน จากปี 2565 ที่เข้ามาจำนวน 9.5 ล้านคน ในขณะที่แนวโน้มคนไทยเที่ยวไทย คาดว่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ตลอดจนภาคเกษตรเติบโตต่อเนื่อง คาดว่าในปี 2566 ราคาสินค้าเกษตรจะทรงตัวในระดับสูงและผลผลิตการเกษตรจะยังขยายตัวได้ดี เนื่องจากมีแหล่งน้ำเพียงพอสำหรับทำการเกษตร

นอกจากนี้เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า (xEV) ที่มีความประหยัด ท่ามกลางแนวโน้มราคาน้ำมันที่ยังทรงตัวในระดับสูง ประกอบกับมาตรการภาครัฐในการส่งเสริมและสนับสนุนให้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า และประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่องให้ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ให้เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2565 ช่วยคุมเพดานดอกเบี้ยเช่าซื้อ ซึ่งต้องคำนวณตามอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปี (Effective Interest Rate) ได้แก่ รถยนต์ใหม่ต้องไม่เกินอัตรา 10% ต่อปี รถยนต์ใช้แล้วต้องไม่เกิน 15% ต่อปี และรถจักรยานยนต์ต้องไม่เกิน 23% ต่อปี จะช่วยสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อกระบวนการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มากขึ้น

ขณะที่ความเสี่ยงของยอดขายรถยนต์ในประเทศในปี 2566 ได้แก่ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ ค่าครองชีพของผู้บริโภคสูงขึ้น โดยดัชนีราคาสินค้าผู้บริโภค (CPI) ในปี 2566 คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้น 6% จากปี 2565 ที่ปรับเพิ่มไปแล้ว 6.2% ประกอบกับราคาน้ำมันที่คาดว่าจะทรงตัวในระดับสูง จะส่งผลทำให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อรถยนต์ใหม่ออกไป นอกจากนี้ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นจะส่งผลทำให้ต้นทุนการขอสินเชื่อรถยนต์เพิ่มขึ้น และปัจจัยด้านกำลังซื้อ ได้แก่ ระดับหนี้ภาคครัวเรือนในปี 2565 อยู่ในระดับสูงกว่า 88% ต่อจีดีพี ส่งผลทำให้ความสามารถในการขอสินเชื่อของผู้บริโภคภาพรวมของประเทศลดลง และแนวโน้มราคารถมือสองคาดว่าจะปรับลดลงในปี 2566 เนื่องจากมีซัพพลายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปและเครื่องยนต์ไฮบริดออกมามาก ประกอบกับเทรนด์ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า (xEV) ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้บริโภคบางส่วนที่มีรถยนต์อยู่แล้ว แม้ถึงรอบที่ต้องเปลี่ยนรถใหม่ ระมัดระวังการเปลี่ยนไปซื้อรถยนต์ใหม่มากขึ้น นับเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม