ธปท. คาดในไตรมาส 2-3 ราคาน้ำมัน-อาหาร จะดันเงินเฟ้อพุ่งทะลุ 5%

737
0
Share:

นายปิติ ดิษยทัต ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน และในฐานะเลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงกว่า 5% ในไตรมาสที่ 2 และ 3 ในปีนี้ ซึ่งมาจากราคาพลังงานและการส่งผ่านต้นทุนในหมวดอาหารเป็นหลัก คาดว่าทั้งปีนี้เงินเฟ้อจะปรับตัวเพิ่มอยู่ที่ 4.9% บนสมมติฐาน ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ถัดไปในปีหน้าจะปรับลดลงอยู่ที่ 1.7% ราคาน้ำมันอยู่ที่ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลและในปี 2566 เงินเฟ้อจะปรับลดลงเข้าสู่กรอบเป้าหมาย 1-3% ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาการราคาพลังงานและอาหารจะไม่ปรับเพิ่มขึ้นต่อในช่วง 1 ปี ยกเว้นจะมีPrice Shockต่อเนื่องจากราคาพลังงานและราคาสินค้าโภคภัณฑ์

ที่มาของราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น เป็นผลจากแรงกระแทก ภายนอกประเทศ ซึ่งกระทบทั่วโลก แม้ไทยจะมีกลไกกองทุนน้ำมันช่วยรับต้นทุนระดับหนึ่งแต่มองไปข้างหน้าราคาพลังงานและอาหารจะสูงกว่าที่คาดไว้ ขณะที่เงินเฟ้อคาดการณ์ระยะ 1 ปีสอดคล้องกับเป้าหมาย ที่สำคัญเงินเฟ้อระยะ 5 ปียังไม่ปรับเพิ่ม เมื่อเทียบกับปี 2551-2552 ช่วงนั้นไทยประสบปัญหาราคาพลังงาน และอาหารสูง โดยเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะสั้นปรับสูงขึ้นอยู่ที่ราว 10% ส่วนใหญ่เกิดจากซัพพลายช็อกระยะสั้น

แต่ภาพปัจจุบันปรับเพิ่มบ้าง แต่ระยะปานกลางและยาวเงินเฟ้อยังไม่ปรับมาก สะท้อนว่าไม่ได้กระทบ เงินเฟ้อในระยะปานกลางยังคงยึดเหนี่ยวกรอบเงินเฟ้อคาดการณ์ได้ค่อนข้างดี และหมวดที่ปรับเพิ่มยังจำกัดราคาพลังงานและราคาอาหารเป็นหลักยังไม่กระจาย แต่เรายังคงต้องติดตามเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางต่อไป

” กรอบดำเนินนโยบายการเงินภาพรวม คือเป้าหมายเงินเฟ้อระยะปานกลาง 1 – 3%ตราบใดยังอยู่ในเป้าหมาย เราเทน้ำหนักไปดูแลเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเงินได้ เงินเฟ้อที่เพิ่มสูงจากปัจจัยอุปทาน และจะคลี่คลายในปีหน้า

คณะกรรมการจึงให้น้ำหนักสนับสนุนตรงนั้นให้ราบรื่นก่อนไม่ใช่ไม่ใส่ใจเรื่องของเงินเฟ้อ การใช้นโยบายการเงินนั้นสำคัญมาก คือ ต้นทุนทางการเงินเริ่มจากดอกเบี้ยระยะสั้นซึ่งเป็นพื้นฐานของผลตอบแทนเกือบทั้งหมดในตลาดการเงิน ทั้งเงินฝาก หุ้นกู้ พันธบัตร หรือการพึ่งพิงการกู้ยืม จึงต้องชั่งน้ำหนักให้ดี เหตุของเงินเฟ้อไม่ได้ร้อนแรงและมองไปข้างหน้า เงินเฟ้อเพียงชั่วคราว จึงไม่อยากใช้นโยบายดอกเบี้ยเป็นทางออก”

กรณีอัตราเงินเฟ้อเดือนกุมภาพันธ์เพิ่มสูงขึ้นอยู่ที่ 5.2% นั้น ส่วนหนึ่งมาจากสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน ทำให้เงินเฟ้อสูงกว่าคาดการณ์และมีแนวโน้มจะสูงขึ้นอีกในไตรมาส 2 และ 3 เพราะฐานของราคา และแรงกดดันที่มีอยู่ แต่หากดูผลระยะปานกลางนโยบายที่จะส่งผลในอีก 1 ปี สามารถมองทะลุผ่านปัจจัยราคาที่ผันผวนระยะสั้นได้

เนื่องจาก แนวโน้มเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงฟื้นตัว หากจะฉุดเศรษฐกิจลงมาแรงๆ เพื่อดึงเงินเฟ้อลงมาจะไม่คุ้ม และโดยรวมคาดว่าเงินเฟ้อจะปรับลดลงในปี 2566 ทำให้สามารถคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่อัตรา 0.50% ต่อปี

การปรับลดประมาณการจีดีพีในปีนี้ลง 0.2% เหลือโต 3.2% จากเดิมอยู่ที่ 3.4%และในปี2566 อยู่ที่ 4.4% จาก 4.7% เป็นการปรับลดลงไม่มาก ตัวที่ลดทอนประมาณการ มาจากโอไมครอนที่อาจจะยืดเยื้อ แต่โดยรวม กระทบด้านสาธารณสุขจำกัด ส่วนผลต่อกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมไม่มากนัก

“ภาพรวมตัวเลขเศรษฐกิจปีนี้มองไม่ต่างจากสำนักอื่นที่ประเมินอยู่ในช่วง2.7-3.4% ซึ่งเรามองเศรษฐกิจไทยเป็นการฟื้นตัวต่อเนื่อง แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีนี้จะมาจากภายในประเทศเป็นหลัก และในปีหน้าจะพึ่งพาต่างประเทศมากขึ้น คาดว่านักท่องเที่ยวจะเพิ่มเป็น 19 ล้านคน ซึ่งเหตุการณ์รัสเซียกระทบภาพใหญ่ทั่วโลก แต่ประเทศไทยไม่ถูกกระทบโดยตรง ด้านภาคการเงินเราค่อนข้างเข้มแข็ง ยกเว้นราคาพลังงานที่เร่งสูงขึ้น แต่ในแง่เศรษฐกิจไม่ถึงขั้นวิกฤติโดยมองเศรษฐกิจเรายังฟื้นตัวต่อเนื่อง”

ตอนนี้ไทยไม่ได้เข้าข่ายสภาวะ “Stagflation” เพราะเศรษฐกิจไทยเร่งตัวในระดับ 3.2% ปีหน้าจะเติบโตเร็ว จึงยังไม่เข้าข่าย Stagflation แต่ต่างประเทศเช่น สหรัฐ เศรษฐกิจอยู่ในภาวะร้อนแรง และเงินเฟ้อสูง