พลังงานจ่อชง กพช.ยืดมาตรการช่วยค่าไฟผู้ใช้รายย่อยภายใน พ.ย.นี้ เล็งตรึงค่าไฟ 4.72 บาท

325
0
Share:
พลังงาน จ่อชง กพช.ยืดมาตรการช่วย ค่าไฟ ผู้ใช้รายย่อยภายใน พ.ย.นี้ เล็งตรึงค่าไฟ 4.72 บาท

นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยในงานเสวนาฝ่าวิกฤตพลังงานโลกทางรอดพลังงานไทย ซึ่งจัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ว่า กระทรวงอยู่ระหว่างเตรียมมาตรการช่วยเหลือด้านพลังงานให้กับประชาชนเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ โดยจะเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ต้นเดือนพฤศจิกายน 2565 คาดว่าจะยังคงใช้มาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าให้กับประชาชนผู้ใช้ไฟรายย่อยขนาด 300-500 หน่วยซึ่งมี 17 ล้านคนทั่วประเทศ และอาจจะมีการขยายมาตรการใหม่เพิ่มเติม

ขณะที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ส่งสัญญาณว่าจะมีการตรึงอัตราค่าไฟฟ้า 4.72 บาท/ต่อหน่วยไปจนถึงไตรมาสสองของปี 2566 หรือในช่วงของการคำนวนค่าเอฟทีงวดแรกของปี 2566 ระหว่างเดือนมกราคมถึงเมษายน ซึ่งกระทรวงพลังงานจะทำทุกวิธีที่ทำให้ค่าไฟคงอยู่ในระดับ 4.72 บาทเหมือนปัจจุบัน ตอนนี้ต้นทุนราคาแอลเอ็นจีเฉลี่ยที่ประมาณ 34 เหรียญสหรัฐ/ล้านบีทียู ซึ่งจากการคำนวณหากราคาแอลจีขยับขึ้นไปถึง 50-55 เหรียญสหรัฐ/ล้านบีทียู จัดส่งผลให้ราคาค่าไฟปรับขึ้นจาก 4.72 บาท เป็น 7 บาท ดังนั้นการเปลี่ยนมาใช้น้ำมันผลิตพลังงานไฟฟ้าแทนจึงคุ้มค่ากว่าหากราคาน้ำมันอยู่ที่ไม่เกิน 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

ทั้งนี้ กระทรวงวางแนวทางที่จะดำเนินการในไตรมาส 4 จนถึงไตรมาส 1 ปีหน้า เพื่อให้ค่าไฟคงที่ประกอบด้วยหนึ่งการปรับเปลี่ยนใช้น้ำมันในการผลิตไฟฟ้า โดยขณะนี้ได้ประสานกับโรงไฟฟ้า ภาคเอกชนในการปรับเปลี่ยนน้ำมัน 250-300 ล้านบาร์เรล/เดือน นับตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นมา ได้ช่วยลดการนำเข้าแอลเอ็นจี คิดเป็นปริมาณเท่ากับเรือขนาด 60,000 ตัน จำนวน 5 ลำ ซึ่งหากราคาแอลเอ็นจียังทรงตัวอยู่ในระดับสูง เราจะไม่มีการนำเข้าในเดือนพฤศจิกาธันวาคมนี้

รวมถึงการยืดอายุโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะโรงที่ 8 ต่อไปอีก 2 ปี ทำให้มีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 300 เมกะวัตต์ ขยายการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะ โรงที่ 4 ซึ่งได้หมดอายุการใช้งานไปแล้วให้กลับมาใช้งานได้ใหม่ โดยอยู่ระหว่างกระบวนการขอ EIA คาดว่าจะทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 200 เมกะวัตต์ภายในปีนี้ ,การเพิ่มกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติในประเทศโดยเฉพาะการฟื้นฟูการผลิตในแหล่งเอราวัณรวมถึงแหล่งอื่น ๆ ,การซื้อไฟฟ้าพลังงานจากประเทศ สปป. ลาว เพิ่มมากขึ้น 30% โดยให้ราคาเพิ่มขึ้นจากสัญญาเดิม เพราะประเมินแล้วว่าแม้ราคาที่ซื้อได้เพิ่ม แต่มีความคุ้มค่า ,การเพิ่มปริมาณการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ตลอดจนการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากขึ้นจาก 2,700 เมกะวัตต์เป็น 10,000 เมกะวัตต์ จากภาพรวมแผน 30,000 เมกะวัตต์ ซึ่งจะบรรจุอยู่ในแผนพลังงานแห่งชาติโดยในจำนวนนี้จะเป็นการผลิตไฟฟ้าจากโซล่า 6,000 เมกะวัตต์ นอกจากนี้พลังงานลมเพิ่มขึ้น 5 เท่า เป็น 1500 เมกะวัตต์ และมีโรงไฟฟ้าขยะเพิ่มขึ้นด้วย

“ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการประหยัดพลังงาน เพราะหากคนไทยประหยัดพลังงาน 20% จะช่วยประหยัดเงินให้กับประเทศชาติได้เป็นแสนล้าน เพราะปัจจุบันไทยมีการนำเข้าพลังงานมากกว่า 92% และผลิตได้เองเพียง 3% ดังนั้นจึงต้องส่งเสริมให้มีการประหยัดพลังงานมากขึ้น” นายกุลิศกล่าว