สภาพัฒน์ชี้ไทยกำลังเจอ 3 วิกฤติหนี้ แนะลดจ้างข้าราชการ

945
0
Share:

นายดนุชา พิชยนันท์ รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า ตอนนี้ไทยเผชิญปัญหาหนี้ 3 ประเภท ได้แก่ หนี้สาธารณะประเทศ หนี้ภาคธุรกิจหนี้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และหนี้ภาคครัวเรือน
.
ในส่วนของหนี้สาธารณะของไทย ในเดือน ก.ค. 2563 อยู่ที่ 47% ต่อจีดีพี เพิ่มขึ้นจากต้นปีที่ 41% ต่อจีดีพี เนื่องจากสถานการณ์ของประเทศไม่ปกติ จำเป็นต้องมีการกู้เงินเพื่อเยียวยาประชาชน แต่ภาพรวมหนี้สาธารณะของประเทศยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง ไม่เกิน 60% ต่อจีดีพี ซึ่งยังบริหารจัดการได้ โดยมีการประเมินว่าแม้จะมีการกู้เงินตาม พ.ร.ก.กู้เงินฉุกเฉิน 1 ล้านล้านบาท สัดส่วนหนี้สาธารณะของประเทศจะอยู่ที่ 57% ต่อจีดีพี
.
หนี้สาธารณะเกิดจากการกู้เพื่อชดเชยขาดดุล ในช่วง 10 ปีที่่ผ่านมา มีการทำงานขาดดุล ต้องกู้เงินมาตลอดปีละ 2.5 – 5 แสนล้านบาท ซึ่งรัฐบาลต้องพยายามจัดทำงบประมาณแบบสมดุลให้ได้ภายใน 5-6 ปี จะทำงบประมาณแบบขาดดุลต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้
.
นอกจากนี้มีหนี้ที่เกิดจากการทำนโยบายกึ่งการคลัง เพื่อช่วยเหลือประชาชนผ่านกลไกของรัฐ อาทิ ธนาคารรัฐ โดยเป็นการช่วยไปก่อนแล้วรัฐบาลตั้งงบชดเชยภายหลัง ซึ่งนโยบายกึ่งการคลังนี้ทำได้แค่บางช่วงเวลา และบางโครงการเท่านั้น ทำมากไม่ได้ เพราะจะกระทบกับฐานะการคลัง จนอาจทำให้งบลงทุนลดลง
.
ที่สำคัญหนี้สาธารณะยังเกิดจากการกู้เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 3-5 แสนล้านบาท โดยหนี้ส่วนนี้ไม่น่าเป็นห่วง เพราะเป็นการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนกลับมา
.
หากต้องการลดการขาดดุลงบประมาณ และเดินหน้าเข้าสู่งบสมดุลนั้น รัฐบาลต้องเริ่มจากปรับโครงสร้างระบบราชการ เพราะเป็นระบบใหญ่ ตามงบประมาณ มีงบรายจ่ายประจำถึง 80% ถือว่าสูงมาก สูงเกินไป วันนี้เรามีเทคโนโลยีนำมาใช้ทำงานได้ รัฐบาลจึงต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ปรับโครงสร้างระบบราชการ เพื่อลดงบส่วนนี้ ให้มีงบลงทุนมากขึ้น ก็จะช่วยลดการขาดดุลลงได้ พร้อมทั้งต้องจัดเก็บรายได้เพิ่ม
.
ด้านหนี้ภาคธุรกิจ จากข้อมูลพบว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา สินเชื่อธุรกิจใหญ่ขยายตัว 36.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เป็นผลมาจากการผ่อนคลายมาตรการบางอย่าง เช่น อัตราดอกเบี้ย ขณะที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกลับเข้าถึงสินเชื่อลดลง ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา แม้ว่าที่ผ่านมารัฐบาลจะมีการออกมาตรการด้านสินเชื่อต่าง ๆ ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศ ได้มีการจัดทำโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟท์โลน) วงเงิน 5 แสนล้านบาท แต่มีการอนุมัติไปเพียง 1 แสนล้านบาทเท่านั้น เรื่องนี้ สศช. กระทรวงการคลัง และ ธปท. อยู่ระหว่างการหารือเพื่อปรับปรุงเงื่อนไขเพื่อให้การปล่อยสินเชื่อคล่องตัวขึ้น การชำระหนี้ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
.
ขณะที่หนี้ครัวเรือน ที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยปัจจุบันหนี้ครัวเรือนของไทยอยู่ที่ระดับ 80% ต่อจีดีพี โดยโครงสร้างหนี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้ระยะยาว อาทิ หนี้บ้าน เพียง 33-34% เท่านั้น ส่วนอีก 27% เป็นหนี้ส่วนบุคคล หนี้อุปโภคบริโภค ซึ่งเทียบกับหลายประเทศที่ส่วนใหญ่เป็นหนี้ระยะยาวมากกว่า ทำให้ไทยจำเป็นต้องให้ความสนใจเรื่องหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคอย่างใกล้ชิด เพราะหนี้ส่วนนี้อาจจะทำให้เกิดปัญหากับระบบเศรษฐกิจในอนาคตได้ โดยเมื่อลงไปดูในรายละเอียด พบว่าส่วนใหญ่คนเป็นหนี้เร็วขึ้น จบปริญญาตรี อายุ 22-40 ปี มีหนี้ระดับสูง ดังนั้นอาจต้องกลับมาดูว่า สถานการณ์การเป็นหนี้ที่เกิดขึ้น เกิดจากตัวบุคคล หรือจากระบบ