“เจ้าสัวธนินท์”ย้ำชัดเครือซีพีจะไม่ปลดพนักงานทั่วโลก

1413
0
Share:

นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ และอดีตประธานกรรมการ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือซีพี เปิดเผยว่า เครือซีพีมีพนักงานกระจายอยู่ทั่วโลก ประมาณ 3 แสนคน ซึ่งกลุ่มบริษัท ไม่มีแผนปลดพนักงานแต่อย่างใด และยังจ่ายเงินเดือนให้ตามปกติ เพราะมองว่าหลังผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 แล้ว เศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นคืนกลับมา หากองค์กรธุรกิจใดมีความพร้อมมากกว่า ธุรกิจนั้นก็จะฟื้นตัวกลับมาได้ไว ด้วยเช่นกัน
.
ปัจจุบัน ธุรกิจค้าปลีกร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น มีพนักงานกว่า 170,000 คน จากจำนวนสาขา กว่า 1.9 หมื่นแห่ง กระจายทั่วไทย เครือซีพี ก็ให้การดูแลอย่างทั่วถึง
และล่าสุด เซเว่นฯ ยังได้ประกาศรับสมัครพนักงานเพิ่มอีก 2 แสนคน เพื่อเป็นผู้ให้บริการจัดส่งสินค้าถึงมือผู้บริโภค
.
ที่สำคัญจากประสบการณ์ของเครือซีพี ที่ดำเนินธุรกิจในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งมีพนักงานอยู่ประมาณ 2,000 คน ก็ไม่ได้มีการเลิกจ้าง และยังคงให้ทำงานอย่างงต่อเนื่อง พร้อมมีที่พักให้อาศัย และออกนโยบายห้ามเดินทางกลับบ้าน ทั้งนี้เพื่อมีส่วนร่วมในการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด19
.
ส่วนมาตรการของเครือซีพี ที่ให้พนักงานบริษัทในเครือกว่า 80% ทำงานอยู่ที่บ้าน ยังมีการให้ความรู้เสริม ฝึกการอบรมทักษะเพิ่มเติม ผ่าน วิดีโอ คอลเฟอร์เรนซ์ เพื่อเตรียมความพร้อมให้พนักงาน รองรับสถานการณ์หลังผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 ไปแล้ว ที่เชื่อว่าเศรษฐกิจจะโตแบบก้าวกระโดดทันที
.
อย่างไรก็ตามประเมินว่าวิกฤตเศรษฐกิจ ที่เป็นผลจากการระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกขณะนี้ แตกต่างกับวิกฤตเศรษฐกิจอื่นๆ ที่ผ่านมาไม่เหมือนวิกฤตต้มยำกุ้ง แต่ครั้งนี้เป็นวิกฤตระดับโลกเกิดขึ้นกะทันหัน ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต้องหยุดชะงักผู้คนต้องกักตัวในที่อยู่อาศัยเพื่อเลี่ยงการแพร่เชื้อโรค ส่งผลกระทบทุกภาคส่วน รวมถึงไทย โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ที่มีมูลค่ากว่า 3.2 ล้านล้านบาทต่อปี คิดเป็นมูลค่าภาษี จากภาคการท่องเที่ยวอยู่ที่ประมาณ 4 แสนล้านบาท
.
หากผู้มีอำนาจบริหารกิจการในธุรกิจ เช่น ภัตตาคาร ร้านอาหาร ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตในครั้งนี้ ควรประคับประคองธุรกิจไว้ พร้อมปรับตัวไปสู่บริการจัดส่งอาหาร เพื่อรองรับฐานลูกค้าเดิมที่มีอยู่ จากการใช้ทักษะ ทรัพยากร รวมถึงพนักงาน เดิมที่มีอยู่ ด้วยจะเป็นโอกาสทางธุรกิจ หลังผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 แล้ว ซึ่งภาครัฐ ควรพร้อมสนับสนุนเม็ดเงินลงทุน ให้กับผู้ประกอบการธุรกิจเหล่านี้ ด้วยหากจะต้องมีการกู้100% ก็ต้องยอม เพราะเป็นการลงทุน ที่จะได้ผลตอบแทนคืนกลับมาแน่นอนหลังผ่านวิกฤตนี้
.
เพราะไทย มีความแข็งแกร่งทางการเงินระดับท็อปของโลก จากที่ผ่านมาไทยลงทุนซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ รายใหญ่เป็นอันดับ18 ของโลก ซึ่งมองว่ามีความเหมาะสมหากจะต้องมีการกู้เงิน
.
ทั้งนี้ สิ่งที่รัฐบาลจะต้องกล้าลงทุนหลังผ่านวิกฤตโควิด-19 ไปแล้ว คือ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เช่น ธุรกิจโรงแรม ที่จะต้องเร่งปรับปรุงให้มีความทันสมัย ปลอดภัย ธุรกิจร้านอาหาร ที่มีบริการเทคโฮม หรือ การนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้
.
โดยมีแนวทาง เช่น การออกพันธบัตร ระยะเวลา 10ปี 20ปี หรือ 30 ปี ช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจที่รับผลกระทบ ซึ่งหลังจากโลกผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้แล้ว ไทยจะเป็นประเทศที่ฟื้นตัวเร็วกว่าประเทศอื่น และขอให้ภาคเอกชนและธุรกิจต่างๆ เตรียมพร้อมด้านกำลังคน และภาคแรงงานไว้ หากสามารถที่จะช่วยเหลือไม่เลิกจ้างแรงงาน ทำให้ผู้คนยังมีกำลังจับจ่ายภายในประเทศได้จะเป็นเรื่องที่ดี
.
เพราะวันนี้เมื่อมืดที่สุดแล้วก็จะมีความสว่าง ไม่มีวันที่จะมืดไปตลอดกาล ดังนั้นเมื่อสว่างแล้วจะต้องเตรียมตัวทำอย่างไร เพราะหลังวิกฤตแล้วมีโอกาสแน่นอน