ไม่ต้องกังวล! “จุรินทร์” บอกสถานการณ์การเมืองตอนนี้ยังถือว่าปกติ แค่ยังไม่ลงตัว

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองในขณะนี้ยังถือว่าปกติ กำลังอยู่ในขั้นตอนการจัดตั้งรัฐบาล เพียงแต่มีประเด็นที่อาจยังไม่ลงตัวกันในบางเรื่องของพรรคที่ไปร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล สังคมจึงให้ความสนใจ เช่น ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ยังไม่ได้ข้อยุติ

ขณะที่ไทม์ไลน์ทางการเมืองที่จะมีการรับรอง ส.ส. และคาดว่าจะมีการเปิดประชุมสภาฯ ในเดือน ก.ค. จะเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกอย่างชัดเจนและนิ่งขึ้น ถ้าคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศผลการเลือกตั้ง ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างรอผลการรับรอง ส.ส.อย่างเป็นทางการ

สาเหตุที่การเลือกตั้งครั้งนี้ สังคมให้ความสนใจกับตำแหน่งประธานสภาฯ มากกว่าการเลือกตั้งครั้งก่อน อาจมาจากเป็นประเด็นที่ 2 พรรค คือพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย ออกมาแสดงความเห็นในลักษณะที่ขัดแย้งกันก็ได้ ซึ่งสุดท้ายแล้ว ตำแหน่งประธานสภาฯ ก็จะต้องเลือกกันในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ

“ที่กังวลว่าจะต้องเป็นของพรรคโน้น พรรคนี้ ไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบายพรรคได้นั้น อาจเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะประธานสภาฯ ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นกลาง จะไปช่วยขับเคลื่อนนโยบายพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งนั้น คงทำไม่ได้อยู่แล้ว และรัฐธรรมนูญก็จำกัดขอบเขตอำนาจหน้าที่ประธานสภาไว้ชัดเจน ดังนั้นก็ไม่ต้องไปกังวลว่าประธานสภาฯ จะทำอะไรนอกเหนือกฎเกณฑ์ได้” นายจุรินทร์ กล่าว

รักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังสรุปบทเรียนหลังเลือกตั้งของพรรคว่า พรรคจะต้องเดินหน้าต่อไป ผลการเลือกตั้งนั้นถ้าไม่แพ้ ก็ชนะ ไม่ได้มาก ก็ได้น้อย ก็เป็นสิ่งที่เราตระหนักได้ และเข้าใจดีอยู่แล้ว แต่สิ่งหนึ่งก็คือทุกคนจะต้องมาช่วยกันทำพรรคให้เติบโตต่อไป และเข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจประชาชนได้มากขึ้นต่อไปในอนาคต

สำหรับการจัดตั้งรัฐบาลนั้น เคยตอบไปชัดแล้วว่าต้องให้โอกาสพรรคก้าวไกลที่จะเป็นแกนตั้งรัฐบาลก่อน พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ไปเป็นอุปสรรคในการจัดตั้งรัฐบาล และในฐานะรักษาการหัวหน้าพรรค ก็ยังไม่เคยมอบหมายใครไปเจรจาจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคการเมืองใด

โดยนายจุรินทร์ กล่าวว่า ไม่อยากให้เกิดการเมืองบนท้องถนนอีก และเชื่อว่าคนไทยทุกคนก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น อยากให้ทุกอย่างได้เดินหน้าไปตามรัฐธรรมนูญที่ได้กำหนดไว้ เพราะรัฐธรรมนูญก็มาจากการลงประชามติของประชาชน จึงอยากให้เดินหน้าการเมืองในรัฐสภามากกว่าจะเป็นการเมืองบนท้องถนน