วัย 40 ช่วงชีวิตที่ดีที่สุด แม้ป่วยด้วย 2 โรคร้าย ภัทรียา ภัทรธราธิป

Share:

     “แอนป่วยเป็นโรคเอสแอลอี หรือที่คนไทยคุ้นกันในชื่อโรคพุ่มพวง ตั้งแต่อายุ 18 แล้วพออายุ 28 ก็พบว่าตัวเองเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงด้วย ซึ่งจะไม่ค่อยเจอใครเป็น 2 โรคนี้พร้อมกัน กล้ามเนื้ออ่อนแรงคุณหมอบอกว่าจะเจอแค่ 1 ในแสนคน ชีวิตแอนเหมือนถูกหวย”

      นี่คือเรื่องราวของคุณแอน  ภัทรียา ภัทรธราธิป  เจ้าของเพจ 40 Young Fit – หลงรักตัวเองในวัย 40 ที่ดูภายนอกสตรองจนไม่รู้ว่าเธอมีโรคประจำตัวถึงสองโรคอยู่ โดยก่อนหน้าที่คุณแอนจะสตรองได้อย่างทุกวันนี้เธอต้องผ่านความทุกข์ทรมานทั้งกายและใจในการเผชิญกับโรคมาหลายปี แล้วอะไรที่พลิกชีวิตสาวอ่อนแอให้เป็นสาวสุดตรองได้เช่นนี้มาติดตามกันค่ะ  

     ย้อนกลับไปคุณแอนในวัย 18 ปี ตัวเองเริ่มมีความผิดปกติคือผิวจะเป็นจ้ำเลือด จนถึงขั้นต้องเขาไปรักษาในโรงพยาบาล แต่ด้วยตอนนั้นโรคเอสแอลอียังไม่เป็นที่รู้จักมากนักจึงไม่ได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง จนกระทั่งเธออายุได้ 28 ปี ก็ตรวจพบความผิดปกติว่าเธอเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงซึ่งมีความรุนแรงมากถึงขนาดที่เธอต้องใช้ชีวิตบนเตียงไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้ และกลายเป็นกรณีศึกษาให้กับทีมแพทย์ จนได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดต่อมไทมัสจนกระทั่งอาการของโรคดีขึ้นและในวัย 37 ปีเธอประสบอุบัติเหตุและได้รับการตรวจเลือดนั่นทำให้รู้ว่าเธอป่วยเป็นโรคเอสแอลอีตั้งแต่อายุ 18 แต่ไม่เคยรู้มาก่อน

     “การที่แอนป่วยตอนนั้นก็รู้สึกเลยว่าโรคเป็นอุปสรรคชีวิตอย่างมาก ตอนที่อาการรุนแรงเราใช้ชีวิตเหมือนคนปกติไม่ได้เลย ใส่ส้นสูงไม่ได้ เดินขึ้นบันไดก็ต้องระวังกระแทกเพราะเลือดจะออกข้างใน แล้วขนาดแปรงฟันยังทำไม่ได้เลยเพราะเลือดมันจะออก” 

     หลังจากที่เข้ารับการรักษาจนอาการของทั้งสองโรคบรรเทาลง ก็เกิดผลข้างเคียงจากการกินยาที่มีสเตียรอยด์ทำให้น้ำหนักขึ้น ตัวบวม หน้าบวม ซึ่งคุณแอนก็พยายามใช้ทางลัดในการลดน้ำหนักทั้งการกินยา ฝังเข็ม เพราะไม่ชอบการออกกำลังกาย แต่นั่นยิ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพผลเลือดแย่ลงน้ำหนักที่ลดก็โยโย่กลับมากกว่าเดิม

     “เมื่อสี่ปีที่แล้วแอนอาการดีขึ้นคุณหมอหยุดให้ยาสเตียรอยด์ แต่ไม่กี่ปีเอสแอลอีก็กลับมากำเริบจนคุณหมอแนะนำให้เราออกกำลังกายเพื่อสร้างภูมิต้านทานโรค ซึ่งเราก็อยากแข็งแรงไม่อยากกลับไปป่วยหนักอีกก็เลยตัดสินใจออกกำลังกายและดูแลสุขภาพ

 

     เริ่มต้นด้วยการออกกำลังกายหลากหลายรูปแบบ ซึ่งในระยะแรกสำหรับผู้ป่วยที่ไม่ได้มีต้นทุนสุขภาพที่แข็งแรงนักก็มีทั้งความเหนื่อยล้าและท้อแท้ แต่ก็ไม่ละความพยายามเพราะเธอมีเป้าหมายที่สำคัญรออยู่ซึ่งไม่นานก็เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นทั้งกล้ามเนื้อที่เพิ่มมากขึ้น รูปร่างที่ดีขึ้น ภูมิคุ้มกันดีขึ้นจากที่เคยป่วยบ่อยๆด้วยไข้หวัดก็ป่วยยากขึ้นทั้งหมดนี้ยิ่งทำให้เธอมีกำลังใจการสู้โรคต่อและปัจจุบันเธอก็หลงรักการออกกำลังกายและดูแลสุขภาพ จากที่เคยเป็นผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงอันดับต้นๆของคุณหมอก็กลายเป็นผู้ป่วยที่แข็งแรงที่สุดจนได้รับคำชมและเป็นตัวอย่างให้กับเพื่อนๆผู้ป่วย

     “หลักในการดูแลสุขภาพของแอนมี 3 ข้อ คือ 1.การออกกำลังกาย ไม่ออกมากเกินไปออกให้พอดี แอนจะออกกำลังกายทั้งเวทเทรนิงและคาร์ดิโอ เวทจะช่วยสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรงคาร์ดิโอก็ช่วยเรื่องปอดและหัวใจให้แข็งแรง 3 วันต่อสัปดาห์  2.อาหาร เลือกอาหารที่ดีไม่มีไขมันทรานส์ ลดหวาน มัน เค็ม เน้นการกินโปรตีน ผักผลไม้ 3. การหลับพักผ่อนให้เพียงพอ นอน 8-10 ชั่วโมง และไม่เครียด เท่านี้เราก็มีสุขภาพที่ดีได้”

     สำหรับผู้ป่วยทั้งโรคเอสแอลอี โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง และโรคอื่นๆ คุณแอนแนะนำว่าก่อนที่จะออกกำลังกายควรจะปรึกษาแพทย์ที่ให้การรักษาเพื่อวางแนวทางในการออกกำลังกายที่เหมาะสม ที่สำคัญคือการปรับแนวคิดว่าคนป่วยก็สามารถออกกำลังกายดูแลตัวเองให้แข็งแรงได้ โดยค่อยเพิ่มระดับตามความแข็งแรง แรกๆอาจจะเดินวันละ 30 นาที แล้วค่อยๆเพิ่มเป็นการเดินเร็ว วิ่ง และเวทเทรนนิง ถ้าทำอย่างสม่ำเสมอก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลง ซึ่งผู้ป่วยและผู้สูงวัยที่อยากได้เคล็ดลับในการดูแลสุขภาพ ก็สามารถเข้าไปติดตามคุณแอนได้ที่ เพจ 40 Young Fit – หลงรักตัวเองในวัย 40 ซึ่งมีทั้งเรื่องอาหารสุขภาพ การออกกำลังกาย เพราะนอกจากประสบการณ์ตรงของตัวเองแล้วเธอยังไปเรียนการเป็นเทรนเนอร์อีกด้วย

     “จากที่เราดูแลตัวเองก็มีผู้ป่วย ผู้สูงวัยเข้ามาปรึกษาว่าเราทำอย่างไร เขามีปัญหาแบบนี้ช่วยแนะนำหน่อยเขาอยากจะแข็งแรง แอนก็เลยไปเรียนต่อการเป็นเทรนเนอร์ และมาแบ่งปันเรื่องราวในเพจ แอนอยากจะเป็นแบบให้เขาในการดูแลตัวเอง”

     แม้ว่าทั้งสองโรคประจำตัวของคุณแอนจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่จากการดูแลสุขภาพก็ทำให้ทั้งสองโรคไม่กำเริบ ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขกับสุขภาพที่แข็งแรงในวัยเลข 4 ที่หลายๆคนอาจกลัว แต่สำหรับเธอพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าอายุและโรคภัยไม่ใช่อุปสรรคขอเพียงใจสู้ไม่ถอย

 

     “แอนอยากเป็นตัวอย่างให้เห็นว่าไม่มีใครแก่หรือป่วยเกินกว่าจะออกกำลังกาย อย่าให้วัยและความเจ็บป่วยมาเป็นอุปสรรคในการดูแลตัวเอง แอนในวัย 40 รู้สึกว่าเป็นช่วงวัยที่ดีที่สุดของตัวเอง เพราะเราแข็งแรงไม่ใช่แข็งแรงแบบผู้ป่วยเท่านั้น แต่เรายังแข็งแรงกว่าคนปกติอีกด้วย การออกกำลังกายเป็นยาวิเศษจากธรรมชาติที่เราทำได้ทุกที่ทุกเวลา อยากให้ทุกคนดูแลตัวเองตั้งแต่ยังไม่ป่วย”

 

ติดตามเรื่องราว ‘สตรองสู้โรค’ ของคุณแอน  ภัทรียา ภัทรธราธิป  ได้ที่นี่เลยค่ะ

Young@Heart Show