หุ้นเทคคึก! ดัชนีหุ้นนาสแดคพุ่งกว่า 230 จุด จุด น้ำมันดิบโลกปิดดิ่งแรงหลุด 83 ดอลลาร์

188
0
Share:
หุ้นเทคคึก! ดัชนี หุ้น นาสแดค ดาวโจนส์ พุ่งกว่า 230 จุด จุด น้ำมันดิบโลกปิดดิ่งแรงหลุด 83 ดอลลาร์

เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 34,092 จุด +6 จุด หรือ +0.02% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 4,119 จุด +42 จุด หรือ +1.05% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 11,816 จุด +231 จุด หรือ +2.00% ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีถึงคืนผ่านมา (1 กุมภาพันธ์) ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดเพิ่มขึ้น +3.4%, +7.9% และ +13.5% ตามลำดับ

ในเดือนมกราคม พบว่าดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง เพิ่มขึ้น +2.8%, +6.2% และ +10.7% ตามลำดับ โดยเฉพาะดัชนีหุ้นดาวโจนส์สามารถปิดขึ้นในแดนบวกเป็นเดือนที่ 3 จาก 4 เดือนผ่านมา ส่วนดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ในวันสุดท้ายของมกราคมไม่เพียงทำสถิติดีที่สุดในเดือนเดียวกัน แต่ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 เดือนมกราคมทำสถิติดีที่สุดในรอบ 4 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา ขณะที่ดัชนีหุ้นนาสแดคทำสถิติเดือนที่ดีที่สุดในรอบ 6 เดือน หรือนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2022 สอดคล้องกับดัชนีหุ้นนาสแดคเดือนมกราคมทำสถิติปิดดีที่สุดในรอบ 22 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา

สาเหตุจากการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟดนัดแรกของปีนี้ ที่มีขึ้น 2 วันติดต่อกันในวันที่ 31 มกราคมถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ ตามเวลาในสหรัฐอเมริกา มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และเป็นการขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวที่น้อยที่สุดในรอบ 11 เดือนผ่านมา หรือนับตั้งแต่มีนาคม 2022 ส่งผลอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดขึ้นมาอยู่ที่ระหว่าง 4.25% ถึง 4.75% กลายเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงสุดในรอบ 16 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา

ขณะที่การแถลงของประธานเฟดเกี่ยวกับแนวโน้มดอกเบี้ยระยะสั้น พบว่า เฟดสามารถยืนยันได้ว่านับเป็นครั้งแรกที่การเคลื่อนไหวเงินเฟ้อลดต่ำลงในสหรัฐอเมริกาเริ่มต้นขึ้นแล้ว อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นจะยังคงดำเนินต่อไปในอนาคต เพื่อเป้าหมายในการดึงอัตราเงินเฟ้อกลับเข้าสู่ระดับ 2%

ด้านตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาในคืนผ่านมา พบว่าการจ้างงานภาคเอกชนในเดือนมกราคมเพิ่มขึ้นเพียง 106,000 คน ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้ที่ 190,000 คน และยังเป็นการจ้างงานที่ลดต่ำลงมากจากเดือนธันวาคมปี 2022 ที่เพิ่มสูงถึง 235,000 คน

ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 76.41 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -2.46 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -3.1% ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาพุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน ทำให้ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ปิดเพิ่มขึ้น 5 วันทำการติดต่อกัน ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 2 เดือนครึ่ง หรือตั้งแต่ตุลาคม 2022

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 82.84 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -2.62 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -3.1% ในปีผ่านไปราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

สาเหตุจากปริมาณสำรองน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปรายสัปดาห์ในสหรัฐอเมริกาพุ่งสูงขึ้นเกินความคาดหมายของตลาด ทำสถิติเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 1 ปี 8 เดือน หรือนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 2021 เป็นต้นมา โดยปริมาณสำรองน้ำมันดิบพุ่งขึ้น 4.1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 27 มกราคมผ่านมา ส่งผลสต๊อกน้ำมันดิบในสหรัฐอเมริกาเพิ่มเป็น 452.7 ล้านบาร์เรล นอกจากนี้ ยังเป็นสัปดาห์ที่ 6 ติดต่อกันที่สต๊อกน้ำมันดังกล่าวเพิ่มขึ้นในสหรัฐอเมริกา

ขณะที่ผลการประชุมกลุ่มโอเปกพลัสในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ มีมติไม่เปลี่ยนแปลงกำลังการผลิตน้ำมันดิบตามที่ได้ประชุมไว้ครั้งสุดท้ายผ่านมา

ราคาทองคำล่วงหน้า หรือ Gold Future นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 1,942.80 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ -0.1% ขณะที่ราคาทองคำส่งมอบทันที หรือ Gold Spot ปิดที่ระดับ 1,951.43 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ +23.20 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ +1.2% โดยในช่วงระหว่างวัน พบว่าราคาทองคำพุ่งทะยานสูงถึง 1,956.60 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทำสถิติสูงสุดในรอบ 9 เดือนครึ่ง หรือนับตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน 2022 ซึ่งในวันนั้น ทองคำมีราคาที่ระดับ 1,957.80 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

ในเดือนมกราคม 2023 ราคาทองคำตลาดโลกเพิ่มขึ้น 5.7%

ในปีผ่านไปเมื่อเดือนมีนาคม 2565 ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2020 หรือในรอบ 18 เดือน

สาเหตุจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงมากถึง 0.9% สอดคล้องกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอายุ 10 ปี กลับทรงตัว หลังจากธนาคารกลางสหรัฐอเมริกามีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นตามคาดการณ์เพียง 0.25% นอกจากนี้ ประธานเฟดยังส่งสัญญาณการปรับขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวในอนาคต แต่ยอมรับว่าภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกาเข้าสู่การปรับลดลงอย่างชัดเจน