ตลาดหุ้นไทยปิดแดงทั้งแถบดิ่งลงกว่า 13.38 จุด แรงเทขายหุ้นใหญ่-ธนาคารไร้ปัจจัยใหม่หนุน

ตลาด หุ้นไทย ปิดแดงทั้งแถบดิ่งลงกว่า 13.38 จุด แรงเทขายหุ้นใหญ่-ธนาคารไร้ปัจจัยใหม่หนุน

ดัชนี SET Index ตลาดหุ้นไทย ปิดที่ระดับ 1,356.54 จุด ดิ่งลง 13.38 จุด หรือ -0.98% , ซื้อขายสุทธิ 48,638.21 ล้านบาท นักลงทุนกระหน่ำเทขายต่อเนื่อง เพราะยังขาดปัจจัยหนุนใหม่ ประกอบกับนักลงทุนผิดหวังตัวเลขจีดีพี ซึ่งกระทรวงการคลังคาดว่าปี66 ขยายตัวเพียง 1.8% และปีนี้ขยายตัวเพียง 2.8%

ส่วน 3 หลักทรัพย์ที่มี, การซื้อขายสูงสุด ได้แก่
1. KTB ปิดที่ 16.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท
2. KBANK ปิดที่ 121.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท
3. AOT ปิดที่ 59.25 บาท ลดลง -0.75 บาท

นายฐิติเทพ นพเกตุ หัวหน้าฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคินภัทร ประเมินว่า โอกาสการลงทุนในหุ้นเด่นปี 67 นี้มี 6 กลุ่มที่นักลงทุนสามารถจับจังหวะเข้าลงทุนได้ ประกอบด้วย กลุ่มสื่อสาร กลุ่มพลังงาน กลุ่มค้าปลีก กลุ่มธนาคาร กลุ่มเฮลธ์แคร์ และ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โดยกลุ่มสื่อสารเป็นหุ้นกลุ่มที่ยังมีความน่าสนใจมาก และได้รับประโยชน์จากการควบรวมกิจการ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาผู้ประกอบการได้ปรับราคาให้บริการขึ้น และการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีขึ้น

บล.เอเซียพลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ในปี 2565 นักลงทุนต่างชาติเคยซื้อสะสมหุ้นไทยสูงถึง 2.02 แสนล้านบาท และในปี 2566 จนถึงปัจจุบัน (22 ม.ค.2567) นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยออกมาต่อเนื่อง 2.13 แสนล้านบาท ทำให้ยอดซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติตั้งแต่ต้นปี 2565 จนถึงปัจจุบัน พลิกกลับมาติดลบ 1.1 หมื่นล้านบาท

นักลงทุนต่างชาติเคยซื้อสุทธิหุ้นไทยในปี 2565 ซึ่งมีต้นทุนเฉลี่ยในการซื้อเท่าดัชนีหุ้นไทย (SET Index) อยู่ที่ 1,674 จุด แต่ในปี 2566 จนถึงปัจจุบันมีการขายหุ้นไทยออกต่อเนื่องโดยมีต้นเฉลี่ยในการขายที่ 1,517 จุด แสดงว่าภาพรวมต่างชาติยอมขายขาดทุนเฉลี่ยราว 10% และ ณ ปัจจุบัน SET Index อยู่ที่ 1,369 จุด หากนักลงทุนต่างชาติซื้อสะสมหุ้นไทยในปี 2565 และมาขายในช่วงนี้ จะขาดทุนราว 18%

ทั้งนี้แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนต่างชาติขาดความเชื่อมั่นตลาดหุ้นไทยพอสมควร เนื่องจากภาพรวมในช่วง 1 ปีกว่า ที่ผ่านมา เห็นแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติที่ยอมขาดทุนถึง -10% แต่แรงขายหลังจากนี้มีโอกาสชะลอลง เพราะยอดซื้อตั้งแต่ต้นปี 2565 พลิกกลับมาติดลบแล้ว ส่วนต่างชาติจะกลับมาซื้อเมื่อไหร่ โดยหลายฝ่าย เช่น รัฐบาล, ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.), ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.), สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) และโบรกเกอร์ (บริษัทหลักทรัพย์) คงต้องช่วยเรียกความเชื่อมั่นให้นักลงทุนกลับมาลงทุนอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม การที่ยังมีแรงขายทั้งที่มีผลขาดทุนดังกล่าวทำให้การประเมินถึงจุดกลับตัวมาซื้อรอบใหม่ของนักลงทุนต่างชาติ ทำได้ยาก และน่าจะต้องถือเป็นปัจจัยที่สร้างแรงกดดันกับตลาดหุ้นบ้านเราต่อไป ประเมินจากปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐาน ยังไม่เห็นแรงขับเคลื่อนที่มีน้ำหนักทางบวกอย่างมีนัยสำคัญ จึงคาดว่า SET Index ยังต้องอยู่ในช่วงของการย่ำฐาน บริเวณ 1,363–1,378 จุด

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles