นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า ขณะนี้มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยังไม่มีการปรับประมาณการเศรษฐกิจ แม้ตัวเลขที่กระทรวงการคลังจะเปิดเผยเศรษฐกิจปี 2566 คาดว่าจะโตที่ 1.8% ซึ่งหอการค้าเชื่อว่าจะเติบโตอยู่ในกรอบ 2.5% แม้ยังไม่มีการทบทวนตัวเลขเพิ่มเติม แต่ก็อดเซอร์ไพรส์ตัวเลขจีดีพี 1.8% ไม่ได้ ทำให้การกลับมาดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ โดยความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่ยังมีอยู่มาก ทำให้ตัวเลขที่ออกมาสะท้อนถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจไทย แต่ยืนยันว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่วิกฤต
ทั้งนี้ รายละเอียดตัวชี้วัดจีดีพีปรับตัวดีขึ้นได้เกือบทั้งหมด อาทิ การบริภาคเอกชน บวกที่ 7.1% เทียบกับ 5.8% ในเดือนตุลาคม 2566 ซึ่งแน่นอนว่าสถานการณ์ตอนนี้ชี้ให้เห็นถึงการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนมีมากขึ้น แต่ปัญหาคือ ประชาชนไปบริโภคที่ใด ทำให้เห็นเสียงสะท้อนจากธุรกิจว่า เศรษฐกิจนิ่งๆ เงียบๆ แต่ประชาชนอาจย้ายไปบริโภคในระบบออนไลน์มากขึ้น ทำให้กระบวนการของการบริโภคเปลี่ยนไป เห็นความคึกคักของระบบส่งของถึงบ้าน รูปแบบการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนเปลี่ยนจากซื้อที่ร้าน เป็นซื้อออนไลน์มากขึ้น ผู้ประกอบการบางส่วนถึงเห็นว่ายอดขายไม่กระเตื้องขึ้นหรือไม่ ส่วนนี้มองว่าภาครัฐมีความจำเป็นต้องดูแลด้วย เพราะการดูแลช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเป็นสิ่งที่ต้องทำ ในช่วงที่ยอดขายไม่โดดเด่น แต่มีภาระต้นทุนมาก
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ด้านการลงทุนของภาคเอกชน ขยายตัวดีขึ้นจาก 0.9% มาเป็น 2.8% การส่งออกจากติดลบ 1.8% ลดลงมาติดลบเพียง 1.5% เท่านั้น จึงเป็นสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะดีขึ้น เทียบเงินไหลเข้าออกสุทธิ ดุลการค้าก็ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะดุลบัญชีรวมการท่องเที่ยว เกินดุลปรับเพิ่มขึ้นจาก 2.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ มาเป็น 5.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ หมายถึงเงินไหลเข้าสุทธิในระบบเศรษฐกิจไทย
ทำให้จากข้อมูลของกระทรวงการคลังที่เศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่า 2% ถือว่าช็อก เพราะไม่มีการคาดคิดว่าก่อนว่าจะโตต่ำกว่า 2% ได้ จุดผิดพลาดคือ การใช้จ่ายภาครัฐ จากเดิมติดลบ 3.4% ในเดือนตุลาคม มาเป็นติดลบ 3.6% ในเดือนธันวาคม สะท้อนถึงงบประมาณแผ่นดินไตรมาส 4/2566 ยังไม่ถูกเคลื่อนออกมาใช้มากนัก เป็นสาเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจขาดแคลน การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐที่ติดขัด ทำให้เงินซ็อตในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งตัวเลขนี้หวังว่าหน่วยงานภาครัฐ จะเข้าไปดูว่าองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นได้เบิกจ่ายงบประมาณหรือไม่ เพื่อพยุงเศรษฐกิจต่อไป
ส่วนการใช้จ่ายภาครัฐ ที่ตัวเลขต่ำกว่าคาดจากติดลบ จาก 0% ในเดือนตุลาคม เป็นติดลบ 0.2% เท่านั้นในเดือนธันวาคม จไทยหลุดเป้าโตเพียง 1.8% เท่านั้น
โดยเศรษฐกิจไทยโตผิดเป้าคาดการณ์ของหลายสำนักงาน ไม่มีใครมองว่าเศรษฐกิจจะโตต่ำกว่า 2% โดยมองว่าปัญหาอยู่ที่ภาคบริหาร เพราะเห็นตัวเลขการเติบโตหลุดเป้าอย่างมากมาย เหลือเพียง 2% เท่านั้น แม้การท่องเที่ยวจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาถึง 28 ล้านคน ทำให้ต้องประเมินว่ามีส่วนใดของภาคบริการมีอะไรซ็อตไปหรือไม่ หรือภาคสถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อให้ ซึ่งกระทรวงการคลังจะต้องกลับไปพิจารณาว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเศรษฐกิจไทยโตต่ำว่าศักยภาพทั้งที่มีคณะรัฐมนตรี (ครม.) อำนาจเต็มในการเคลื่อนเศรษฐกิจแล้วโตต่ำว่า 2% เป็นโมเมนตัมที่น่าเสียดายมาก ทั้งที่มองว่าจะโตได้กว่า 2.5%
สำหรับปี 2567 คาดการณ์ว่าจะโตที่ 2.8% ไม่รวมดิจิทัลวอลเล็ต ต่ำกว่า 3% ทั้งที่งบประมาณแผ่นดินขาดดุลมากขึ้นเป็น 7 แสนล้านบาท จาก 6 แสนล้านบาท สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นคือ เงินเฟ้อกลับมาอยู่ที่ 1% แม้ไม่ได้ผิดปกติจากคาดการณ์ไว้ และจุดนี้ไม่ได้เป็นตัวชี้ว่าเศรษฐกิจซบเซา