นายสุธี เกตุศิริ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ กล่าวว่า ในช่วงต้นปี 2566 บริษัทฯ ตั้งเป้าการขายไว้ 1,200 ล้านบาท โดยมีความหวังว่าหลังจากโรคโควิด-19 ผ่านไปแล้ว เศรษฐกิจไทยน่าจะดีขึ้น แต่ไตรมาส 3 ตลาดเริ่มแผ่ว และแผ่วมากขึ้นในไตรมาส 4 จากปัจจัยการเมืองมีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่และภาวะเศรษฐกิจโลกไม่ดี ที่น่าสนใจ คือลูกค้าบางรายกู้ธนาคารแต่กลับไม่ผ่าน หรือกู้ได้ไม่ถึง 100% ส่งผลกระทบให้ชะลอตัดสินใจสร้างบ้าน คิดเป็น 10-15% ของทั้งหมด
กลุ่มระดับราคาบ้านที่มีปัญหาดังกล่าวจะอยู่ระหว่าง 2-8 ล้านบาท แต่มากสุด หรือส่วนใหญ่จะเป็นบ้านราคา 2-5 ล้านบาท ทำให้ปี 2566 บริษัทฯ ปิดยอดรายได้รับสร้างบ้านได้แค่ 1,100 ล้านบาท
กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ กล่าวต่อไปว่า แผนการดำเนินงานของบริษัทในปี 2567 นึ้ ได้ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 1,200 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับเป้าหมายเดิมในปี 2566 แต่เพิ่มจากยอดที่ทำได้จริงปี 2566 ที่ 1,100 ล้านบาท ประกอบด้วย รายได้จากบริษัท บิวท์ ทู บิวด์ จำกัด ซึ่งสร้างบ้านระดับราคา 25 ล้านบาทขึ้นไปประมาณ 250 ล้านบาท รายได้จากบริษัท บางกอกเฮ้าส์บิวเดอร์ จำกัด ซึ่งสร้างบ้านระดับราคา 10-25 ล้านบาท ประมาณ 350 ล้านบาท และรายได้จากบริษัท สมอลล์เฮ้าส์บิวเดอร์ จำกัด ซึ่งสร้างบ้านระดับราคา 2-10 ล้านบาท ประมาณ 600 ล้านบาท และถือว่าเป็นฐานลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่สุด
