ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ประเมินเศรษฐกิจไทยในปี 2567 เติบโต 2.7% จากการส่งออกขยายตัวจำกัด รายได้ท่องเที่ยวยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 และปัญหาหนี้อยู่ในระดับสูง ชี้เศรษฐกิจโลกเสี่ยงรีเซตครั้งใหญ่ จากความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ภาวะการเงินตึงตัวทั่วโลก และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจสหรัฐ และจีนในระยะข้างหน้า แนะผู้ประกอบการกระจายตลาดลดความเสี่ยง ธุรกิจรายใหญ่และเอสเอ็มอีร่วมมือเพิ่มขีดแข่งขัน
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ประเมินเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะขยายตัวอย่างจำกัดที่ระดับ 2.7% เนื่องจากการส่งออกฟื้นตัวได้จำกัด อาจขยายตัวเพียง 1.8% จากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักชะลอตัว โดยเฉพาะสหรัฐ และจีน ส่งผลกระทบต่อการผลิตภาคอุตสาหกรรม เช่น สาขาที่พึ่งพาการใช้แรงงาน และสูญเสียความสามารถการแข่งขันยังผลิตได้ต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19
ขณะที่รายได้จากภาคการท่องเที่ยวยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเป็น 34 ล้านคน แต่ยังต่ำกว่าปกติที่ 40 ล้านคน แม้จะมีนโยบายฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวจีน แต่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนยังฟื้นตัวจำกัด จากเศรษฐกิจจีนที่ชะลอ และรัฐบาลจีนเน้นส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ
นอกจากนี้ ไทยย้งมีภาระหนี้อยู่ในระดับสูง การบริโภคภาคเอกชนอาจชะลอตัว จากภาระหนี้ครัวเรือนในระดับสูง ขณะที่ธุรกิจเอกชนบางส่วนเผชิญความยากลำบากในการชำระคืนหนี้ โดยในส่วนที่ระดมทุนผ่านตราสารหนี้ อาจมีต้นทุนการออกหุ้นกู้และการชดเชยความเสี่ยงที่สูงมากขึ้น
ในปี 2567 เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ต้องตั้งรับกับสถานการณ์โลกที่มีการรีเซตสำคัญ 3 ประการ คือ
1. การรีเซตเทรนด์โลกใหม่ ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และกระแสโลกที่เปลี่ยนไป จะนำโลกไปสู่การเมืองแบบหลายขั้วท่ามกลางความขัดแย้ง ขณะที่กระแสรักษ์โลกคืบหน้ามากขึ้น และเทรนด์นวัตกรรม AI เปลี่ยนโลก
2. การรีเซตเศรษฐกิจโลกภายใต้ภาวะการเงินตึงตัว อัตราดอกเบี้ยในระดับสูงยาวนานจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจชัดเจนมากขึ้นในปีนี้ สร้างความยากลำบากในการระดมทุนและจ่ายคืนหนี้ เพิ่มความเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้
3. การรีเซตเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจโลก โดยเครื่องยนต์หลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกทั้งสหรัฐ และจีนอาจดับลงพร้อมกัน ความเสี่ยงหลักจากความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐ หากทรัมป์กลับมาเป็นประธานาธิบดีรอบใหม่ ขณะที่สงครามการค้าซึ่งมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น จะเป็นภัยคุกคามเศรษฐกิจจีนให้อ่อนแอลงไปอีก
ทั้งนี้ Krungthai COMPASS แนะนำภาคธุรกิจให้เตรียมพร้อมรับมือกับการรีเซตเศรษฐกิจโลกใหม่ โดยกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสทางการค้าจากขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดใหม่ เพื่อรับมือกับความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น โดยจำเป็นต้องศึกษาและวางแผนจัดการห่วงโซ่อุปทานให้สอดคล้องกับกระแสแยกขั้ว ทั้งการย้ายฐานของบรรษัทข้ามชาติกลับไปยังประเทศแม่ (Reshoring) และการย้ายฐานและทำการค้าเฉพาะประเทศพันธมิตรด้วยกัน (Friend-shoring)
โดยยัง ต้องจับตาสถานการณ์ของสหรัฐ และจีนในปีนี้เป็นพิเศษ โดยเฉพาะกรณีที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ในช่วงปลายปี 2567 ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงจากการกลับทิศของนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐ เช่น การประกาศจะตั้งกำแพงภาษีต่อจีนถึง 60% ซึ่งอาจส่งผลให้สัดส่วนการนำเข้าจากจีนแทบเหลือ 0% ส่วนจีนจะมีความเสี่ยงเพิ่มเติม จากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ และหนี้รัฐบาลท้องถิ่นที่กระทบกำลังซื้อภายในประเทศอยู่แล้ว หากเครื่องยนต์หลักทั้งสองตัวของโลกถูกรีเซต ไทยและประเทศต่างๆ อาจประสบกับพายุลูกใหญ่ในระยะข้างหน้า
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องก้าวให้ทันเทคโนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะ Gen-AI และปรับปรุงแผนการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับกระแสสังคมคาร์บอนต่ำ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่ และ SME ควรร่วมมือผ่านการเชื่อมโยงธุรกิจ สร้างศักยภาพจาก Ecosystem วางกลยุทธ์ลดต้นทุนตลอดห่วงโซ่อุปทาน ชึ่งจะเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของภาคธุรกิจโดยเฉพาะรายย่อยและ SME มากยิ่งขึ้น