ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยมุมมองเกี่ยวกับตลาด หุ้นไทย ว่า ในสัปดาห์ผ่านไป หุ้นไทยปรับตัวลงในช่วงต้น–กลางสัปดาห์ในระหว่างรอติดตามผลการประชุมเฟด โดยหุ้นที่เผชิญแรงเทขายหลักๆ เป็นหุ้นบิ๊กแคปในกลุ่มวัสดุก่อสร้างและกลุ่มพลังงานจากปัจจัยเฉพาะของแต่ละบริษัท แต่หุ้นไทยดีดตัวขึ้นช่วงสั้นๆ ในช่วงต่อมาสอดคล้องกับทิศทางของตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในภูมิภาคหลังผลการประชุมเฟด ซึ่งมีสัญญาณบ่งชี้ว่า ยังมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้งในปีนี้ตามมุมมองเดิมในช่วงการประชุม FOMC เดือนธ.ค. 2566 อย่างไรก็ดี หุ้นไทยกลับมาเผชิญแรงขายอีกครั้งช่วงปลายสัปดาห์ เนื่องจากยังขาดปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาหนุน ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติกลับมามีสถานะขายสุทธิหุ้นไทยอีกครั้ง อนึ่ง นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยในสัปดาห์ 18-22 มี.ค. 2567 เป็นมูลค่ามากถึง 37,762 ล้านบาท
สำหรับในสัปดาห์นี้ ตั้งแต่ที่ 25-29 มี.ค. 2567 KSecurities คาดแนวรับที่ 1,370 และ 1,360 จุด ขณะที่ แนวต้านอยู่ที่ 1,390 และ 1,400 จุด ตามลำดับ โดยปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขส่งออกเดือนก.พ. ของไทย ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ดัชนี PCE/Core PCE Price Index เดือนก.พ. และตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/66 ของสหรัฐฯ กำไรบริษัทภาคอุตสาหกรรมเดือนม.ค.-ก.พ. ของจีน ตลอดจนยอดค้าปลีกและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.พ.ของญี่ปุ่น
ด้านฝ่ายวิจัย บลู.เอเซีย พลัส ระบุว่าการเพิ่มระยะเวลาการซื้อขายทำให้ตลาดหุ้นไทยที่มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยมีเวลาการซื้อขายเพิ่มเป็น 5 ชั่วโมง ซึ่งเข้าใกล้ตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ ที่ในบางประเทศมีชั่วโมงการซื้อขาย 6-7 ชั่วโมง อาจมีส่วนช่วยชดเชยสภาพคล่องที่น้อยลงต่อเนื่องให้ดีขึ้นบ้าง แต่ฝ่ายวิจัยฯ มองว่าแรงส่งอาจจะผลักดันให้ SET INDEX ปรับตัวขึ้นได้ดี อย่างน้อยต้องมีมูลค่าซื้อขายต่อวันสูงกว่า 5 หมื่นล้านบาท ดัชนีจึงจะช่วยหนุนดัชนีให้มีโอกาสขยับตัวขึ้นได้ดี