เสฉวน ไป่ฉา ไป่ต้าว อินดัสเตรียล ซึ่งเป็นธุรกิจเครือข่ายชานมไข่มุกใหญ่อันดับ 3 ในประเทศจีน เปิดเผยว่า เตรียมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงในวันอังคาร 23 เมษายนนี้ ซึ่งคาดว่าจะระดมทุนได้มากถึง 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 11,000 ล้านบาท ส่งผลกลายเป็นการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงที่มีมูลค่าใหญ่ที่สุดในรอบ 5 เดือนผ่านมา หรือนับตั้งแต่พฤศจิกายน 2023 การนำบริษัทดังกล่าวเข้าตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงในครั้งนี้ ส่งผลให้สองสามีภรรยาผู้เป็นเจ้าของบริษัทมีชื่อว่า หวังเสี่ยวคุน และหลิวเหว่ยหง ถูกจัดให้เป็นมหาเศรษฐีหน้าใหม่เนื่องจากมีมูลค่าความมั่งคั่งรวมทั้งสองคนถึงสอง 2,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 99,000 ล้านบาท หลังจากทั้งสองคนถือหุ้นรวมกันมีสัดส่วนมากถึง 73% ของทั้งบริษัท
ไป่ฉา ไป่ต้าว หรือที่รู้จักกันดีและเรียกติดปากว่า ฉาไป่ต้าว แปลว่า 100 ความหลากหลายของชา ก่อตั้งขึ้นและเปิดขายครั้งแรกในปี 2008 หรือเมื่อ 16 ปีผ่านมา โดยเป็นร้านมีพื้นที่ขนาด 20 ตารางเมตร ตั้งอยู่ใกล้ๆกับโรงเรียนระดับมัธยมแห่งหนึ่งในเมืองเสฉวน เมื่อมาถึงปี 2018 ใช้วิธีการการขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ จึงทำให้เกิดการขยายตัวของร้านชานมไข่มุกฉาไป่ต้าวมากกว่า 8,000 สาขาทั่วประเทศจีน ในเดือนมกราคมที่ผ่านมาร้านชาไข่มุกฉาไป่ต้าว ได้เปิดสาขาต่างประเทศแห่งแรก และนอกประเทศจีนเป็นครั้งแรกในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ในขณะที่ได้เพิ่มไลน์ธุรกิจเครื่องดื่มกาแฟ ด้วยการเปิดร้านกาแฟที่มีชื่อว่าคอฟฟรีในจีนแผ่นดินใหญ่
ฉาไป่ต้าว จับกลุ่มผู้บริโภคชานมไข่มุกที่ตอบสนองต่อราคาอย่างรวดเร็ว หรือเป็นกลุ่มที่ต้องการดื่มชานมไข่มุกในราคาประหยัด หรือไม่แพงระดับพรีเมี่ยม ในปัจจุบันขายในขนาดแก้วความจุ 500 มิลลิลิตรที่แก้วละ 2 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 75 บาท ในขณะที่รายอื่นๆขายในขนาดเดียวกันอยู่ที่เกือบแก้วละ 5 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 185 บาท ซึ่งแพงกว่าเกือบ 2 เท่าครึ่ง ด้านรายได้ของนมไข่มุกฉาไป่ต้าว ปรากฎว่ายอดขายเติบโตอย่างก้าวกระโดดกว่า 56% ในช่วงปี 2021-2023 หรือเฉลี่ยปีละกว่า 18% รวมทั้งหมด 5,700 ล้านหยวน หรือ 787 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 29,120 ล้านบาท
แบรนด์ชานมไข่มุกที่ได้รับความนิยมอีกแบรนด์ ซึ่งเข้ามาเปิดตลาดในประเทศไทยแล้ว ได้แก่ มี่เฉวี่ย(Mixue) โดยมีมหาเศรษฐี 2 พี่น้องร่วมก่อตั้งชื่อว่า จางหงเชา และจางหงฟู่ ก่อตั้งแบรนด์ชานมในปี 1997 หรือเมื่อ 27 ปีผ่านมา เครือข่ายร้านชานมไข่มุกมี่เฉวี่ยมีจำนวนสาขามากมายกว่า 32,000 แห่งทั่วประเทศจีน และมีมากกว่า 4,000 แห่งใน 11 ประเทศรวมทั้งในไทย ส่งผลให้กลายเป็นเครือข่ายร้านเครื่องดื่มที่มีขนาดใหญ่อันดับ 2 ของโลกในแง่จำนวนร้านสาขา ซึ่งเป็นรองเพียงเครือข่ายร้านกาแฟสตาร์บัคส์ ในปี 2020 เมื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์สำเร็จ ส่งผลให้มูลค่าบริษัทใหญ่โตถึง 23,300 ล้านหยวน หรือกว่า 118,830 ล้านบาท ทำให้มูลค่าความมั่งคั่งรวมของแต่ละคนของมหาเศรษฐีสองพี่น้องสูงถึงคนละ 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคนละกว่า 55,500 ล้านบาท หากรวมทั้ง 2 คนจะมีมูลค่าความมั่งคั่งมากมายถึง 111,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ตลาดเครื่องดื่มชานมทวีความรุนแรงมากขึ้นในจีน ด้านยักษ์ใหญ่อันดับ 2 ในประเทศจีน ได้แก่ กัมมิง โฮลดิ้งส์ ซึ่งมีร้านชานมมากกว่า 9,000 สาขา และอันดับ 4 อานตี้ เจนนี่ ซึ่งได้ยื่นเข้าสู่ขั้นตอนการเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ต้องเผชิญกับภาวะสงครามราคาชานมไข่มุกในจีนโดยลดราคาขายลงมาเหลือแก้วละ 3.50 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 130 บาท เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจจีนที่ซบเซา เงินฝืดเคืองในระบบเศรษฐกิจ ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่ายเครื่องดื่มที่ไม่จำเป็น
แม้แต่นายูกิ โฮลดิ้งส์ แบรนด์ชานมระดับพรีเมี่ยมซึ่งมีสาขากว่า 1,800 แห่งในจีน และเข้าตลาดหุ้นฮ่องกงไปเมื่อ 3 ปีผ่านมานั้น ต้องตกอยู่ในการแข่งขันที่รุนแรงถึงกับต้องลดราคาขายชานมลงมาเหลือแก้วละ 2.50 ดอลลาร์สหรัฐ หรือแก้วละ 92.50 บาท อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งตลาดของแบรนด์นายูกิตกต่ำอย่างมากเกือบ 90% นับตั้งแต่เข้าตลาดหุ้นเมื่อ 3 ปีผ่านมา ส่งผลให้นางเผิงจิน และสามีของเธอมีชื่อว่าจ้าวหลิน มีมูลค่าความร่ำรวยลดต่ำลงมากเหลือน้อยกว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 11,100 ล้านบาท จากเดิมที่เคยมีความร่ำรวยสูงถึง 2,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 81,400 ล้านบาทในปี 2021
ทั้งนี้ มูลค่าตลาดเครื่องดื่มชาที่ทำสดในประเทศจีนเติบโตโตขึ้นทุกปีในช่วงระหว่างปี 2018-2023 และได้รับการคาดการณ์ว่าจะเติบโตในปีนี้และปีหน้าต่อเนื่องด้วย โดยในปี 2018 ตลาดมีมูลค่าราว 50,000 ล้านหยวน หรือกว่า 255,000 ล้านบาท จนมาถึงปี 2023 มีมูลค่าที่ 150,000 ล้านหยวน หรือกว่า 765,000 ล้ารบาท ส่วนในปี 2024 นี้ คาดว่าจะเติบโตขึ้นเป็น 170,000 ล้านหยวน หรือกว่า 867,000 ล้านบาท และในปี 2025 คาดว่าจะเพิ่มเป็นกว่า 200,000 ล้านหยวนนิดๆ หรือกว่า 1.02 ล้านล้านบาท