นายแสงชัย ธีระกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยกล่าวว่า ถือเป็นเรื่องดีที่ธนาคารพาณิชย์ทั้งรัฐและเอกชน ประกาศปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.25% เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและเอสเอ็มอี เป็นระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระต้นทุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่แบกรับภาระ ทั้งค่าน้ำมัน ค่าไฟ และค่าแรงรวมทั้งสินเชื่อที่กู้มาเสริมสภาพคล่องและยังเป็นการช่วยประชาชนทั่วไปได้ด้วย
แต่ก็มีข้อกังวลในการจำกัดกลุ่มเปราะบางกับเอสเอ็มอี เพราะว่าสถาบันการเงินแต่ละแห่ง มีคำจำกัดความแตกต่างกัน ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ประกอบการจะยึดตามความหมายของสสว. เป็นเกณฑ์ ในขณะที่แบงก์ชาติ กำหนดไว้ว่าวงเงินสินเชื่อรายย่อยหรือไมโครจะต่ำกว่า 5 ล้านบาท และวงเงินห 5-50 ล้านบาท จะเป็นวงเงินของเอสเอ็มอี ซึ่งเห็นว่าควรจะคุยกันเพื่อใช้ไปในทิศทางเดียวกันและควรมีตัวชี้วัดผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ดี การลดอัตราดอกเบี้ยหกหกเดือนไม่ใช่คำตอบสุดท้าย แต่แบงค์ชาติควรเข้าไปดูเพดานอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคล ที่ในปัจจุบันสูงถึง 25% ต่อปี ซึ่งจากการสำรวจของสสว. พบว่า ผู้ประกอบการ SME จำนวนมาก ขาดสภาพคล่องและต้องหันไปพึ่งสินเชื่อส่วนบุคคลมากกว่า 50% ต้องแบกรับดอกเบี้ยมากกว่า 9% ขึ้นไป และอยากให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังทบทวนดอกเบี้ยในกลุ่มโกนาโนไฟแนนซ์ที่สูงถึง 36% ต่อปีหากทำได้จะช่วยบรรเทาผลกระทบได้มาก