สำนักผู้แทนการค้า สหรัฐอเมริกา หรือ USTR เปิดเผยว่า ประธานาธิบดีนายโจ ไบเดน ประกาศนโยบายและมาตรการจัดเก็บ ภาษี เพื่อการค้าที่เป็นธรรมให้กับภาคอุตสาหกรรมสหรัฐอเมริกากับสินค้านำเข้าจากประเทศจีน ซึ่งมาตราปรับขึ้นอัตราภาษีกับสินค้านำเข้าจากประเทศจีน ได้แก่ รถยนต์พลังงานไฟฟ้าหรือรถอีวี แบตเตอรี่ไฟฟ้ารถอีวี และไมโครชิป ได้ข้อสรุปให้มีผลเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 1 สิงหาคม 2024 นี้เป็นต้นไป
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหรัฐประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน โดยที่ได้รับความสนใจอย่างมาก คือรถอีวี เพียงแต่ยังไม่ได้ประกาศวันบังคับใช้ให้ชัดเจน โดยปรับขึ้นภาษีนำเข้าจาก 27.5% ไปเป็น 102.5% หรือขึ้น 4 เท่า แม้ว่าปัจจุบันสหรัฐฯ มีการนำเข้า BEV จากจีนในสัดส่วนที่น้อยเพียง 2% ของมูลค่าการนำเข้ารถอีวีของสหรัฐ
สำหรับสินค้าประเภทอื่นๆ ที่สำนักผู้แทนการค้า สหรัฐอเมริกา หรือ USTR เปิดช่วงระยะเวลารับฟังความคิดเห็นจากสาธารณชนในสหรัฐอเมริกา ประกอบด้วย การขึ้นอัตราภาษีถึง 25% กับหน้ากาก และถุงมือทางการแพทย์ การขึ้นอัตราภาษีถึง 50% กับสายฉีดเข็มฉีดยา ในปี 2023 ที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกานำเข้าสินค้าดังกล่าวทั้งหมดจากประเทศจีนคิดเป็นมูลค่า เกือบ 640 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 23,680 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มสินค้าคิดเป็นจำนวน 387 รายการ ที่ได้รับการพิจารณาแล้วในการใช้อัตราภาษีใหม่รวมถึงการระบุระยะเวลาหรือวันที่บังคับใช้อัตราภาษีใหม่อย่างชัดเจน ทั้งนี้วันที่มีผลเริ่มบังคับใช้อัตราภาษีใหม่กับทั้ง 387 รายการจะแบ่งเป็นระยะที่หนึ่งมีผลในวันที่ 1 มกราคม 2025 และระยะที่สองมีผลในวันที่ 1 มกราคม 2026
ทำเนียบขาว สหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า นโยบายและมาตรการปรับขึ้นอัตราภาษีของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาส่งผลให้กระทบกับสินค้าที่ผลิตและนำเข้าจากประเทศจีนในปัจจุบันมีมูลค่ารวมกันสูงถึง 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 666,000 ล้านบาท โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ เหล็ก โลหะอลูมินัม ชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ รถอีวี แร่ธาตุสำคัญ แผงโซล่าเซลล์พลังงานพลังงานแสงอาทิตย์
ที่น่าสนใจ ได้แก่ การประกาศอัตราภาษีเพิ่มขึ้นถึง 25% กับ กลุ่มสินค้าประเภทแบตเตอรี่ไฟฟ้าลิเทียมอิออนที่นำเข้าจากประเทศจีนนั้น สำนักงานผู้แทนการค้า สหรัฐอเมริกาเปิดเผยว่า จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2026 โดยจะเป็นมาตรการบังคับใช้กับแบตเตอรี่ไฟฟ้าลิเทียมอิออน ที่ไม่ได้ใช้กับยานยนต์ซึ่งมีมูลค่า 10,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 403,300 ล้านบาท ซึ่งสินค้าในกลุ่มดังกล่าวมีการนำเข้าจากประเทศจีน ซึ่งขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นอันดับที่ 3 รองจากสินค้าประเภทสมาร์ทโฟน และเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพีซี