พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ( กสทช. )ด้านกฎหมายและประธานอนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีฯ เปิดเผยถึงกรณีการตรวจสอบคัดกรองเบอร์ซิมการ์ด ที่ผูกกับบัญชีธนาคารให้ตรงกัน ภายในวันที่ 27 พ.ค.67 ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถใช้งานโมบายแบงก์กิ้งได้ ว่า เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน เนื่องจากวันที่ 27 พ.ค.67 เป็นวันเริ่มต้นนับหนึ่งของขบวนการหลังบ้านให้ธนาคารพาณิชย์ทั้ง 21 แห่ง ในระยะเวลา 120 วัน ต้องส่งข้อมูล ได้แก่ ชื่อเจ้าของบัญชี และเลขหมายโทรศัพท์ ต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ผ่านช่องทางที่มีการติดต่อสื่อสารอยู่แล้ว
จากนั้น ปปง.จะเปิดช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ที่เข้ารหัสให้ กสทช. เพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นมาคัดแยกเครือข่ายตามผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (โอเปอเรเตอร์) แต่ละราย จากนั้น จะส่งข้อมูลให้โอเปอเรเตอร์แต่ละราย ไปตรวจสอบว่า ชื่อใครเป็นเจ้าของเลขหมาย และชื่อเจ้าของเลขหมายนั้นตรงกับชื่อเจ้าของบัญชีหรือไม่ หากถูกต้องตรงกันถือว่าเป็นบัญชีดี กระบวนการตรวจสอบนั้นก็จะจบไป สามารถใช้งานโมบายแบงก์กิ้งได้ตามปกติ แต่หากพบว่าไม่ตรงกัน จะส่งข้อมูลดังกล่าวกลับไปยัง ปปง. ซึ่งต้องร่วมกับธนาคารพาณิชย์ตรวจสอบอีกครั้ง
พล.ต.อ.ณัฐธร กล่าวว่า สิ่งที่ต้องการคือเลขหมายโทรศัพท์ ชื่อบัญชีที่ไปผูกกับซิมผี ซึ่งเป็นบัญชีม้าที่ตั้งใจเปิดเพื่อรองรับการโอนเงินที่ได้มาโดยผิดกฎหมาย โดยคนร้ายจะอ้างว่าไม่รู้จักเจ้าของเบอร์ที่โอนเงินมา แต่หากชื่อเจ้าของซิมตรงกับเจ้าของบัญชีจะปิดช่องทางการปฏิเสธของคนร้ายได้ เพราะถือว่ารู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิด โดยจะได้รับโทษเต็มๆ ในฐานะตัวการหรือผู้ร่วมขบวนการตามกฎหมายใหม่ พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 มาตรา 9 คือ เปิดบัญชีหรือให้ผู้อื่นยืมใช้บัญชีของตนที่เปิดไว้ โดยที่รู้หรือพึงรู้ได้ว่าเขาจะไปใช้ในการกระทำความผิด มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีปรับไม่เกิน 300,000 บาท ส่วนบัญชีม้าที่ถูกหลอกมาให้เปิดบัญชีและอาจได้รับผลตอบแทน ก็สร้างปัญหาให้กับระบบโมบายแบงกิ้งอย่างมาก ซึ่งเมื่อเริ่มกระบวนการเหล่านี้ก็จะช่วยลดปัญหาดังกล่าวได้มาก
“ขบวนการเหล่านี้เป็นขบวนการหลังบ้านทั้งสิ้น กสทช.และโอเปอเรเตอร์ ต้องรีบดำเนินการ เพราะมีเลขหมายโทรศัพท์ราว 120 ล้านเลขหมาย ที่ได้รับการจัดสรรจาก กสทช.เดือน ม.ค.67 แบ่งเป็นบุคคลธรรมดาและต่างชาติ 93.6 ล้านเลขหมาย นิติบุคคล/อุปกรณ์ไอที จำนวน 26.4 ล้านเลขหมาย ขณะที่ บัญชีธนาคารจริงๆ มีอยู่ราว 130 ล้านบัญชี และโมบายแบงกิ้งมี 106 ล้านบัญชี ซึ่งในระยะเวลา 4 เดือน หรือ 120 วัน ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเสร็จสิ้นหรือไม่ ดังนั้น เราต้องรีบนับหนึ่ง เพื่อให้มาตรการนี้ส่งผลออกมาเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
หลังจากนั้น เป็นเรื่องของธนาคารที่ต้องใช้ดุลพินิจว่า จะแจ้งใครให้มาเปลี่ยน หรือต้องระงับการใช้งานเลขหมายโทรศัพท์ของใคร ซึ่งเบื้องต้นเป็นเรื่องที่ ปปง.และธนาคารพาณิชย์ที่มีธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควบคุมอยู่ ต้องหารือกัน ว่าจะออกกฎเกณฑ์ให้ปฏิบัติอย่างไรได้บ้าง ซึ่งยังไม่ระงับในทันที เพราะการระงับการใช้งานแต่ละเลขหมาย มีขั้นตอนตามกฎหมายที่ต้องปฏิบัติและใช้เวลานาน ซึ่งช่วงเวลาที่ใช้ในการระงับคนร้ายก็ยังคงใช้เบอร์อยู่เรื่อยๆ
แต่เรื่องนี้ เป็นเรื่องของสุจริตชนที่จะกระตือรือร้นไปเปลี่ยนให้เบอร์ซิมการ์ด ที่ผูกกับบัญชีธนาคารให้ตรงกันก็ถือว่าเป็นมุมที่ดี เพราะปกติแล้วข้อมูลบัญชีเงินฝากธนาคารเป็นข้อมูลส่วนบุคคล การให้เลขหมายโทรศัพท์กับบุคคลอื่นมาควบคุมการใช้จ่ายเงินของตนเองเป็นเรื่องที่ไม่ปกติและมีเหตุผลน้อยมาก ยกเว้นกรณีที่เป็นบุคคลในครอบครัว เช่น พ่อแม่พี่น้องที่แก่ชราแล้ว หรือลูกหลานที่ยังเด็ก หรือเป็นเลขหมายโทรศัพท์องค์กรที่เปิดขึ้นในนามหน่วยงานและนำเบอร์ไปผูกไว้ ซึ่งธนาคารจะใช้ดุลพินิจในการผ่อนผันเรื่องดังกล่าว และกรณีเหล่านี้ได้รับการยกเว้นอยู่แล้ว” พล.ต.อ.ณัฐธร กล่าว