นายกฤษณรักษ์ ใจดี รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) เปิดเผยว่า อคส.ได้เชิญชวนผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูลการจำหน่ายข้าวสารในสต็อกของรัฐเป็นการทั่วไปครั้งที่ 1/2567 โดยระบายแบบเหมาคลังตามสภาพของข้าวที่เก็บรักษาที่มีอยู่จริง เข้ารับฟังคำชี้แจงในการประมูลข้าว เบื้องต้นมีผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังประมาณ 10 ราย และก่อนหน้ามีผู้สนใจโทรเข้ามาสอบถามการประมูลข้าวกว่า 10 ราย จึงมั่นใจว่าการประมูลข้าวของรัฐบาลครั้งนี้มีผู้สนใจเข้าร่วมประมูลข้าวของรัฐแน่นอน โดยอคส.จะเปิดให้เอกชนที่สนใจยื่นซองเอกสารคุณสมบัติในวันที่ 10 มิ.ย.2567 และจะประกาศรายชื่อผู้เสนอซื้อที่ผ่านคุณสมบัติในวันที่ 13 มิ.ย.2567 ก่อนจะเปิดให้ยื่นซองเสนอราคาซื้อได้ในวันที่ 17 มิ.ย. 2567 และจะเปิดซองเสนอราคาทันทีในช่วงบ่ายวันเดียวกัน
โดยในการประมูลนี้ไม่มีราคากลาง แต่จะดูราคาสูงสุดที่แต่ละรายจะเสนอราคาเข้ามา หากมีผู้เสนอราคาสูงสุดก็จะได้ข้าวของรัฐไป ซึ่งคณะทำงานจะพิจารณาและต่อรองราคากับผู้ชนะ ซึ่งก็จะมีหลักเกณฑ์เงื่อนไขในการพิจารณาราคา ซึ่งตอนนี้พิจารณากันอยู่ และหากผู้ชนะทิ้งสัญญาก็จะนำผู้ที่ชนะลำดับถัดไปขึ้นมารับมอบสัญญา แต่รายที่ทิ้งสัญญาแรกไปจะต้องจ่ายส่วนต่างข้าวนั้นๆด้วย อาทิ มีเสนอราคาสูง 22 บาท รายที่ 2 เสนอ 20 บาท รายแรกทิ้งสัญญา รายที่ 2 ขึ้นมา รายแรกก็ต้องจ่ายส่วนต่าง 2 บาทที่หายไป
ส่วนทีมีข่าวว่าทางคณะกรรมาธิการวุฒิสภา บางท่านจะขอให้มีการตรวจสอบข้าวสารสต๊อกนี้ใหม่อีกครั้งนี้ โดยคณะกรรมาธิการการชุดดังกล่าวคงต้องทำหนังสือถึงกระทรวงพาณิชย์ โดย อคส.ไม่มีอำนาจตรงนี้ แต่เมื่อผลพิสูจน์จากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ออกมาชัดเจนแล้วก็คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ซึ่งคณะกรรมาธิการวุฒิสภา มีหน้าที่นิติบัญญัติมากกว่ามาตรวจสอบและที่ผ่านมาก็ได้ตรวจสอบให้เห็นมาแล้ว
ด้านนายวิชัย ศรีนวกุล นายกสมาคมโรงสีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า ตนมาในนามสมาคมโรงสีภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อมาฟังคำชี้แจงระบายข้าว อคส. ตามที่เชิญ ซึ่งวันที่ 31 พ.ค. อคส. เปิดตรวจสินค้าในคลัง โดยตนจะให้ฝ่ายจัดซื้อของโรงงานเข้าไปดูและประเมินว่าควรจะซื้อหรือไม่ซื้อได้ระดับราคาที่เท่าใดแต่ในเบื้องต้นบริโภคได้ก็มีโอกาสที่จะมายื่นเสนอราคาก็จะไปดูสภาพสินค้าว่าเป็นอย่างไร โดยราคาจะเสนอมามากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการแต่ละรายอีกที
ส่วนเรื่องคุณภาพข้าว กระทรวงพาณิชย์ก็ได้มีการส่งตรวจแล้ว ว่าบริโภคได้ ดังนั้น ผู้บริโภคไม่ต้องกังวล แต่อาจติดในเรื่องสีของข้าว ซึ่งโดยปกติการนำข้าวมาบรรจุถุงหรือแปรรูปอะไร ก็ต้องการผ่านกระบวนสีข้าวและปรับปรุงคุณภาพซึ่งมีมาตรฐานที่กำหนดไว้อยู่แล้ว ถ้าไทยบริโภคได้ต่างประเทศก็บริโภคได้เหมือนกัน ส่วนตัวผมว่าควรใช้โอกาสนี้สร้างการรับรู้ถึงการจัดเก็บข้าว ที่เก็บในคลังมาตรฐานยังคงสภาพข้าวได้นาน 10 ปี ซึ่งในปัจจุบันหรืออนาคตที่มีภัยธรรมชาติ อาจต้องเก็บข้าวไว้นาน 5-6 ปีโดยไม่เสียหาย วันใดเจอวิกฤตอะไรอาจต้องเก็บสต็อกนานหลายปี ไทยเราทำได้ จะเป็นดีต่อตลาดข้าวไทยด้วย ที่ต้องติดตามคือเมื่อมีการระบายข้าวและมีผู้ประมูลไปแล้ว จะถูกมองว่าเป็นผู้ประกอบการนั้นอย่างไร และมีผลต่อภาพพจน์ของเอกชนนั้นมั้ย เรื่องนี้เขากังวลกันมากกว่า กังวลกระแสโซเชียล อย่างที่พิสูจน์ข้าวเก็บ 10ปี แม้ตรวจแล้วแต่ก็ยังมีการออกมาพูดด้อยค่า ทางอ้อมส่งผลกระทบต่อภาพพจน์ข้าวไทยเอง เรื่องการเก็บข้าวครั้งนี้ น่าจะเป็นกรณีศึกษาและต่อยอดในอนาคต