ดัชนี SET Index ตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 1,320.92 จุด ปรับขึ้น 4.23 จุด หรือ +0.32% มูลค่าการซื้อขาย 3,649.18 ล้านบาท ช่วงเปิดตลาดเช้านี้
ตลาด SET 50 เปิด 815.38 จุด ปรับ +2.64 จุด หรือ +0.32% มูลค่าการซื้อขาย 2,433.55 ล้านบาท ตลาด mai เปิด 365.95 จุด ปรับ +1.24 จุด หรือ +0.34% มูลค่าการซื้อขาย 49.32 ล้านบาท
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมิน SET คาด SET การฟื้นตัวยังถูกจำกัด โดยมีแนวต้านบริเวณ 1325-1330 จุด โดยแม้เงินเฟ้อสหรัฐในเดือน พ.ค. ต่ำกว่าคาด แต่เฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยเหลือ 1 ครั้ง จากเดิม 3 ครั้ง ในปีนี้ ขณะที่ปัจจัยการเมืองยังกดดันดัชนี และทิศทาง fund flow ไหลออก ด้านแนวรับอยู่ที่ 1310 จุด หากต่ำกว่าเป็นลบต่อ และมีแนวรับถัดไปที่ 1300 จุด
ช่วงสั้นมอง SET ยังเปราะบาง โดยได้รับแรงกดดันจากประเด็นความเสี่ยงทางการเมืองในประเทศที่เพิ่มขึ้นซึ่งจะกดดันให้ SET ยัง Underperform ตลาดหุ้นในภูมิภาค ส่วนการประชุมนโยบายการเงินของ กนง. ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.50% เช่นเดิม ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศคาดยังไร้สัญญาณบวกใหม่ในสัปดาห์นี้ โดยเงินเฟ้อ พ.ค. ของสหรัฐและจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นต่ำกว่าคาด ส่วนการประชุมนโยบายการเงินของเฟดมีมติคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 5.50% แต่ปรับ dot plot ลดดอกเบี้ยในปีนี้เหลือเพียง 1 ครั้ง จากคาดการณ์เดิมที่ 3 ครั้ง
ด้านบล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย)มองแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าดัชนีรีบาวด์ได้บ้าง แต่อัพไซด์ไม่แรงเหมือนตลาดต่างประเทศ โดยมีมุมมองเป็นกลางต่อผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ 5.25-5.50% ตามตลาดคาด ขณะที่ทิศทางเศรษฐกิจของสหรัฐยังแข็งแกร่ง ส่วนอัตราเงินเฟ้อเฟดมองว่ายังอยู่ในทิศทางปรับลดลงสู่เป้าหมายที่ 2% แต่อาจช้ากว่าคาด โดยเฟดมองว่าเงินเฟ้อสิ้นปีจะอยู่ที่ 2.8%YoY เมื่อเทียบกับคาดการณ์เดือนมี.ค.ที่ 2.6% ส่งผลให้มุมมองคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งในปี 67 จากเดิมที่ส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง
นอกจากนี้ ถ้อยแถลงของประธานเฟดสะท้อนว่าในระยะถัดไปเฟดยังต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐต่อไป แม้เงินเฟ้อในเดือนพ.ค.จะมีแนวโน้มต่ำกว่าคาด แต่ต้องใช้ข้อมูลเศรษฐกิจในวงกว้างเพื่อประกอบการพิจารณา โดยตลาดตีความผลประชุมเฟดค่อนข้างบวก เนื่องจากข้อมูลเงินเฟ้อเดือนพ.ค.ที่ต่ำกว่าคาด ขณะที่ Fed watch tool ตลาดมองว่าดอกเบี้ยสหรัฐจะปรับลง 2 ครั้งในปีนี้ โดยการปรับลดครั้งแรกจะเกิดขึ้นในเดือนก.ย. จากประเด็นดังกล่าวหนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐและภูมิภาคดีดตัวขึ้นไปได้
ขณะที่การประชุมคณะกรรมนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวานนี้มีมติคงอัตราดอกเบี้ยตามคาด และยังไม่เห็นสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ย จึงยังไม่ได้สร้างแรงหนุนให้กับตลาดในภาพรวม นอกจากนี้ประเด็นการเมืองระยะสั้นยัง Overhang ต่อไป หลังจากศาลรัฐธรรมนูญได้ขอพยานหลักฐานเพิ่มเติมในคดียุบพรรคก้าวไกลและคดีคุณสมบัตินายกฯของนายเศรษฐา ทวีสิน พร้อมนัดพิจารณาครั้งต่อไปในวันที่ 18 มิ.ย. รวมทั้งยังมีคดีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในวันเดียวกัน ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยดีดขึ้นไปได้ แต่คงไม่แรงเหมือนต่างประเทศ เนื่องจากประเด็นการเมืองกดดันอยู่ โดยให้กรอบแนวรับ 1,310 จุดและแนวต้าน 1,330 จุด