บมจ.โรงพยาบาลนครธน แต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงิน 2 ราย คือ ธนาคารไทยพาณิชย์ และ บล.ทรีนีตี้ ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 135,000,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 25.23% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลัง IPO โดยบริษัทคาดว่าจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ไปใช้เป็นเงินลงทุนโครงการโรงพยาบาลนครธน 2 โครงการนครธน ลองไลฟ์ เซ็นเตอร์ (Nakornthon Long Life Center) ซึ่งจะเป็นศูนย์ดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงแบบองค์รวม ขยายจำนวนเตียงให้บริการของโรงพยาบาลนครธน ชำระคืนเงินกู้ยืมให้กับสถาบันการเงิน และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ
รศ.ญาณเดช ทองสิมา ประธานกรรมการ โรงพยาบาลนครธน เปิดเผยว่า โรงพยาบาลเปิดให้บริการมาเป็นกว่า 28 ปี โดยมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพการให้บริการและเทคโนโลยีทางการแพทย์มาอย่างต่อเนื่องและยกระดับเป็นโรงพยาบาลชั้นนำในพื้นที่กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตกที่สามารถให้บริการรักษาโรคที่มีความซับซ้อน (โรงพยาบาลระดับตติยภูมิ) ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยและมีบุคลากรทางการแพทย์ทั้งในสาขาอายุรศาสตร์เฉพาะทางและสาขาเฉพาะทางอื่นๆ จากเดิมที่ให้บริการรักษาโรคทั่วไปและโรคที่มีความซับซับซ้อนเบื้องต้น (โรงพยาบาลระดับทุติยภูมิ)
ปัจจุบัน มีศูนย์การแพทย์เฉพาะทางรวม 21 ศูนย์ อาทิ ศูนย์สมองและระบบประสาท ศูนย์หัวใจ ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ ศูนย์กระดูกสันหลัง ศูนย์มะเร็งนครธน ศูนย์ทันตกรรม เป็นต้น อีกทั้ง มีคลินิกทางการแพทย์ 3 คลินิก ได้แก่ คลินิกผู้สูงอายุ คลินิกระงับปวด และคลินิกนมแม่ มีบริการพิเศษแก่กลุ่มหลากหลายทางเพศ และแผนกไตเทียม ด้วยอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน เพื่อตอบสนองการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันและการรักษาแบบองค์รวม พร้อมให้การดูแลและรักษาสุขภาพของผู้ใช้บริการทุกช่วงวัย
โรงพยาบาลนครธนเป็นอาคาร 12 ชั้น จำนวน 150 เตียง ตั้งอยู่บนถนนพระราม 2 ริมทางหลวงสายหลักที่มุ่งไปสู่ภาคตะวันตกของกรุงเทพฯ และสู่ภาคใต้ของประเทศไทย แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและสถานที่สำคัญ รวมถึงมีการพัฒนาโครงข่ายเส้นทางคมนาคมจากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้มีความสะดวกในการเดินทางเข้าสู่ย่านศูนย์กลางเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ ส่งผลให้ทำเลพระราม 2 กลายเป็นเขตเมืองแห่งใหม่ ของกรุงเทพฯ ได้ในอนาคต ทำให้เกิดการขยายตัวของเมืองและความต้องการบริการทางการแพทย์เพิ่มขึ้น
โรงพยาบาลนครธนเป็นโรงพยาบาลระดับตติยภูมิที่มีศูนย์การแพทย์ และแพทย์เฉพาะทางชั้นนำในกรุงเทพมหานครฝั่งตะวันตก ในขณะที่โรงพยาบาลระดับตติยภูมิส่วนมากมีความกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฝั่งตะวันออก โดยโรงพยาบาลนครธนมีนโยบายกำหนดค่ารักษาพยาบาลอยู่ในระดับที่เหมาะสมและแข่งขันได้
จุดเด่นของโรงพยาบาลนครธนหลากหลาย ได้แก่ 1) เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลชั้นนำที่มีความเชี่ยวชาญและมีเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยในกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก สามารถให้การรักษาแบบครบวงจร (One Stop Service) 2) อยู่ในทำเลศักยภาพเป็นเมืองใหม่ของกรุงเทพฯ ในอนาคต 3) มีฐานลูกค้าเดิมจำนวนมากและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ณ สิ้นปี 2566 มีผู้ป่วยจำนวน 133,719 ราย เพิ่มขึ้นจำนวน 37,270 ราย จาก ณ สิ้นปี 2562 ซึ่งมีจำนวน 96,449 ราย หรือคิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 8.51% ต่อปี
4) ความร่วมมือกับโรงพยาบาลชั้นนำในการจัดตั้งศูนย์การแพทย์รักษาโรคซับซ้อนและโรคทั่วไปเพื่อขยายฐานผู้ใช้บริการ เช่น ร่วมกับบริษัท บำรุงราษฎร์ สไปน์ เน็ตเวิร์ก จำกัด ในการจัดตั้งศูนย์กระดูกสันหลัง และร่วมกับบริษัท บำรุงราษฎร์ เฮลท์ เน็ตเวิร์ก จำกัด ในการจัดตั้งศูนย์มะเร็งนครธน เป็นต้น 5) มีความพร้อมให้บริการดูแลและรักษาสุขภาพของผู้ใช้บริการทุกช่วงวัย ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงผู้สูงอายุ 6) ให้บริการทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐานระดับสากล โดยทีมแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านจากหลากหลายสาขา และ 7) มีศักยภาพที่จะเป็นผู้นำสำหรับโรงพยาบาลประกันสังคม
บริษัทอยู่ระหว่างการดำเนินโครงการโรงพยาบาลสำหรับผู้ประกันตนและผู้รับบริการทั่วไป ภายใต้บริษัท โรงพยาบาลนครธน 2 จำกัด คาดว่าจะเริมก่อสร้างภายในปี 2567 จะก่อสร้างเสร็จสิ้นและสามารถเปิดให้บริการได้ภายในปี 2568 และ โครงการนครธนลองไลฟ เซ็นเตอร์ (Nakornthon Long Life Center) ซึ่งจะเป็นศูนย์ดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงแบบองค์รวมภายใต้ บริษัท นครธนเนอสซิงแคร์ จำกัด อยู่ระหว่างออกแบบ และเตรียมขออนุญาตก่อสร้าง คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในปี 2569
โครงสร้างผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 พ.ค.67 บริษัท สยามเฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นของตระกูลทองสิมา ถือหุ้น 43.12% หลัง IPO จะลดสัดส่วนเหลือ 32.24% ขณะที่ผู้ถือหุ้นอื่น 32.41% จะลดเหลือ 24.33% ประกอบด้วย สมาชิกครอบครัวทองสิมา สมาชิกครอบครัวสายเพ็ชร์ และอื่น ๆ
ผลประกอบการช่วงปี 64-66 มีรายได้รวม 1,551.67 ล้านบาท 1,963.05 ล้านบาท และ 2,036.89 ล้านบาท ตามลำดับ มีกำไรสำหรับงวด 183.24 ล้านบาท 320.91 ล้านบาท และ 282.29 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ ร้อยละ 11.81, 16.35 และ13.86 ตามลำดับ
ไตรมาส 1/67 บริษัทมีรายได้รวม 502.39 ล้านบาท จาก 484.03 ล้านบาทในตไรมาส 1/66 และมีกำไรสำหรับงวด 62.13 ล้านบาท เทียบกับ 60.99 ล้านบาทในไตรมาส 1/66 ณ วันที่ 31 มี.ค.67 สินทรัพย์รวม 2,112.11 ล้านบาท หนี้สินรวม 903.71 ล้านบาท และส่วนผู้ถือหุ้น 1,208.40 ล้านบาท
บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการขอ งบริษัทฯ ภายหลังจากหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และการจัดสรรทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่ได้กำหนดไว้ในกฎหมายและข้อบังคับของบริษัทฯ