สภาทองคำโลก (World Gold Council) หรือดับเบิลยูจีซี เปิดเผยรายงานสำรวจทองคำสำรองธนาคารกลางประจำปี 2024 พบว่า จากการตอบผลสำรวจธนาคารกลางทั่วโลกจำนวน 70 แห่ง มี 20 แห่ง หรือคิดเป็น 29% ที่จะเพิ่มการซื้อทองคำแท่งเข้าสะสมเพิ่มในคลังสำรองทองคำภายใน 12 เดือนจากนี้ไป ที่สำคัญ คือ สัดส่วนที่ 29% ทำสถิติมากที่สุดนับตั้งแต่สภาทองคำโลกเริ่มทำรายงานผลสำรวจเมื่อปี 2018 เป็นต้นมา
สาเหตุจากธนาคารกลางทั่วโลกกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์การสร้างสมดุลรอบใหม่ในการถือครองปริมาณทองคำในคลังสำรองไปถึงระดับที่พึงพอใจ ปริมาณการผลิตทองคำแท่งภายในประเทศที่มีเหมืองผลิตทองคำ และความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดการเงิน เช่น ความเสี่ยงของเงินเฟ้อที่จะเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงของวิกฤตความขัดแย้งที่จะมีมากขึ้น นอกจากนี้ บรรดาธนาคารกลางหลายแห่งมีมุมมองว่า การกระจายความเสี่ยงและเพิ่มการถือครองทองคำที่เพิ่มขึ้น
อีกเหตุผลหนึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงตลาดการเงินโลก เป็นผลจากเงินดอลลาร์สหรัฐอาจมีแนวโน้มที่จะไม่อยู่ในบทบาทสำคัญในสถานะสกุลเงินหลักที่ถูกเก็บในทุนสำรองระหว่างประเทศมากมายเหมือนในอดีตผ่านมา โดยสะท้อนจากผลสำรวจ พบว่า 62% ของธนาคารกลางในการสำรวจ ประเมินว่า ส่วนแบ่งของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐในตลาดทุนสำรองระหว่างประเทศจะลดลงในอีก 5 ปีข้างหน้า สัดส่วนที่ 62% ดังกล่าวในการสำรวจปีนี้ เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 55% ในปีผ่านมา และเพิ่มขึ้นจาก 42% ในปี 2022 ในขณะเดียวกัน 69% ของการสำรวจ พบว่า ทองคำจะมีสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้นในอีก 5 ปีจากนี้ไป สัดส่วนที่ 69% ดังกล่าวในการสำรวจปีนี้ เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 62% ในปีผ่านมา และเพิ่มขึ้นจาก 46% ในปี 2022
ผลสำรวจประจำปีครั้งนี้ เปิดเผยหลังผ่านไป 2 สัปดาห์ที่ธนาคารจีนเปิดเผยว่าได้หยุดซื้อทองคำในเดือนพฤษภาคม ซึ่งนับเป็นการหยุดซื้อทองคำเดือนแรกในช่วง 18 เดือนคิดต่อกันผ่านมา อย่างไรก็ตาม นายคริชาน โกพอล นักวิเคราะห์สภาทองคำโลก คาดการณ์ว่า ความต้องการที่แข็งแกร่งในการซื้อทองคำแท่งของบรรดาธนาคารกลางทั่วโลกยังมีมีต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าแนวโน้มการซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกในปี 2024 นี้ อาจไม่มีมากเท่ากับปริมาณการซื้อทองคำในปี 2023 และปี 2022 ที่ผ่านมาและถึงแม้ว่าธนาคารจีนจะยุติซื้อทองคำในเดือนผ่านไปก็ตาม
ทั้งนี้ ผลสำรวจยังเปิดเผยต่อไปว่า 81% ของธนาคารกลางที่ร่วมทำการสำรวจ คาดว่าการถือครองทองคำแท่งในคลังสำรองจะเพิ่มขึ้นในอีก 12 เดือนข้างหน้านี้ ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากผลสำรวจเดิมที่ระดับ 71% ในปีผ่านไป
