ดร. กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า เนื่องจากเราไม่ได้จัดการมันอย่างเหมาะสม เศรษฐกิจไทยโตไม่พอ ปัญหาเรื่องนี้มันกำลังจะลุกลาม ข้างล่างก็จะมีปัญหา เพียงแต่ข้างบนยังไปได้ นั่นหมายถึง เศรษฐกิจไทย ระดับมหภาคขณะนี้พ้นช่วงลำบากที่สุดแล้ว แต่ยังมีปัญหาภาคไมโคร หรือจุลภาคโดยเฉพาะหนี้นอกระบบและกลุ่ม SME ที่เจอผลกระทบและเป็นหนี้เสียตั้งแต่ COVID-19 ถ้าเราปลดล็อก 2 เรื่องนี้แล้วจะช่วยได้ในหลายเรื่อง สถานการณ์โควิดที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยไปติดโรคมาโรคหนึ่ง นั่นก็คือโรคหนี้นอกระบบ ซึ่งขณะนี้กำลังกัดกินเศรษฐกิจระดับล่างอยู่
เศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลัง 2567 มองว่าในภาพรวมจะดีขึ้นในระดับหนึ่ง มาจากแรงขับเคลื่อนด้านการลงทุนภาครัฐที่อั้นมาตลอด และคาดว่าจะเร่งขึ้นใน 4 เดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ ในไตรมาส 4 ของปีนี้ ยังมีงบประมาณปีหน้าเข้ามา มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ฟรีวีซ่า และเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว นอกจากนี้การส่งออกไทยยังคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น จึงคาดว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2567 นี้จะอยู่ที่ 3% และปี 2568 จะเติบโตสูงกว่า 3%
เศรษฐกิจระดับบนมีแรงส่งจากหลายๆ ส่วน อย่างการส่งออกที่เคยแย่มานาน แต่ตอนนี้กำลังเข้าสู่ช่วงการฟื้นตัว แล้วหากโลกกำลังลดดอกเบี้ยลง เพื่อกระตุ้น และฟื้นเศรษฐกิจ ก็จะทำให้การส่งออกฟื้นตัวได้ดีขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการส่งออกของจีนด้วย ซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากการที่สินค้าจีนมาถล่มตลาดอาเซียน ถล่มตลาดประเทศไทยลงได้ เป็นการช่วยผ่อนหนักเป็นเบา ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวก็ฟื้นตัวต่อเนื่อง มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเฉลี่ยมากกว่า 3 ล้านคนทุกเดือน โดยเฉพาะปลายปีจะมี 3.5-4 ล้านคนต่อเดือน
ด้านตลาดทุน หลังจากนี้ต้องติดตามสถานการณ์เมื่อตลาดการเงินโลกเข้าสู่เฟสใหม่ ที่มีสภาพคล่องจำนวนมาก หลังจากธนาคารกลางคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับสูงมานานเพื่อสู้กับเงินเฟ้อ แต่ปัจจุบันธนาคารกลางหลายแห่งเริ่มทยอยลดดอกเบี้ยฯ แล้ว เช่น ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ (SNB) ธนาคารกลางแคนาดา (BOC) จึงเป็นช่วงเข้าสู่ภาวะดอกเบี้ยขาลง ที่มาพร้อมกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
แต่เมื่อเศรษฐกิจโลกมีทิศทางฟื้นตัวจะส่งผลดีต่อการส่งออกของไทยที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาในไทย เมื่อกิจกรรมการค้าโลกฟื้นตัว สินค้าจีนจะไหลไปยังที่อื่น และผ่อนแรงกดดันในไทย รวมถึงทำให้การส่งออกไทยปรับตัวดีขึ้น มองว่ากลุ่มที่จะฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มอาหาร