สำนักข่าวรอยเตอร์ส ซึ่งเป็นสำนักข่าวชื่อดังระดับโลกของสหรัฐอเมริกา รายงานประเด็นภาวะเศรษฐกิจไทยเชิงวิเคราะห์เล่าเรื่อง ว่า สัญญาณเตือนเศรษฐกิจไทยกำลังถูกสะท้อนผ่านสถานการณ์โรงงานในประเทศไทยปิดตัวอย่างรวดเร็วขึ้นเกือบ 2,000 แห่ง ด้านอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 1 เพิ่มขึ้นอย่างน้อยมาก และยังรั้งท้ายในประเทศชั้นนำของอาเซียน อาจส่งผลให้เศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าเป้าหมาย 5%
รอยเตอร์ส เปิดเผยข้อมูลจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งพบว่าข้อมูลชุดนี้ยังไม่มีการรายงานไปก่อนหน้านี้ โดยพบว่า จำนวนโรงงานปิดตัวลงในประเทศไทยระหว่างกรกฎาคม 2023 มาถึงมิถุนายน 2024 พบว่าพุ่งขึ้น 40% เมื่อเทียบกับช่วง 12 เดือนก่อนหน้านั้น ดังนั้น จำนวนพนักงานต้องตกงานในประเทศไทยพุ่งทะยานสูงถึง 80% ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน นั่นหมายถึงมีคนไทยตกงานมากกว่า 51,500 คน ขณะที่เกียรตินาคินภัทร เปิดเผยว่า จำนวนโรงงานเปิดใหม่ชะลอตัวลงด้วย ในภาวะดังกล่าวปรากฏว่าโรงงานที่ปิดตัวลงเป็นโรงงานขนาดใหญ่ ส่วนโรงงานที่เปิดตัวเป็นขนาดเล็ก
รอยเตอร์ส เปิดการสัมภาษณ์กับพนักงานโรงงาน ชื่อว่า นางจันทร์เพ็ญ ซื่อตรง วัย 54 ปี ทำงานอยู่ที่โรงงานกระจกนิรภัย V.M.C. ในจังหวัดสมุทรปราการ เธอทำงานเป็นพนักงานมาเกือบ 20 ปี มีหน้าที่ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนรถยนต์ที่ออกจากสายการผลิต ในเดือนเมษายนผ่านมา จันทร์เพ็ญ ซื่อตรง ได้รับแจ้งอย่างไม่คาดคิดว่าโรงงานที่เธอทำงานด้วยนั้น จะปิดตัวลง และทำให้เธอตกงาน
นางจันทร์เพ็ญ หัวหน้าครอบครัวคนเดียวของบ้านที่มีสมาชิก 3 คน ซึ่งรวมถึงสามีที่ป่วยและลูกสาวที่ยังวัยรุ่น กล่าวว่า ฉันไม่มีเงินเก็บเลยสักบาทเดียว แต่กลับมีหนี้เป็นแสน ฉันแก่แล้ว ฉันจะไปทำงานที่ไหน ใครจะรับฉันเข้าทำงาน ด้านนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน มองว่า ภาคอุตสาหกรรมชะลอตัวลง และกำลังการผลิตก็ลดลงต่ำกว่า 60% เห็นได้ชัดว่า อุตสาหกรรมจำเป็นต้องปรับตัว
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ กล่าวว่า รูปแบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการผลิตของไทยที่มีมานานหลายทศวรรษนั้นพังทลายแล้ว โดยตอนนี้จีนกำลังส่งออกสินค้าไปทั้งทางซ้าย ทั้งทางขวา ทั้งตรงกลาง หรือพูดง่ายๆ คือ จีนส่งออกสินค้าไปทั่วทุกสารทิศ ที่สำคัญ สินค้าเหล่านี้มีราคาถูก จนสร้างปัญหาให้กับภาคการผลิตของไทย ไทยต้องเปลี่ยนแปลง โดยควรหันไปมุ่งเน้นการผลิตสินค้าที่จีนไม่ได้ส่งออก ขณะเดียวกันก็ต้องเสริมสร้างภาคการเกษตรกรรมของไทยอย่างไม่มีข้อยกเว้น
นายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน กล่าวแย้งว่าโครงการแจกเงิน 5.6 แสนล้านบาทที่เป็นที่ถกเถียง และล่าช้านั้น เป็นสิ่งสำคัญ แม้จะเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย รวมถึงจากธนาคารกลางด้วยก็ตาม นี่จะเป็นยาแรงในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ขณะที่ นางจันทร์เพ็ญ ซึ่งไม่มีรายได้ประจำ กล่าวว่า “รอรับเงินแจก 10,000 บาท ซึ่งคนไทย 50 ล้านคนจะได้รับตามโครงการ” อีกทั้งเธอเสริมว่า “เศรษฐกิจไทยแย่ตั้งแต่รัฐบาลชุดก่อน พอมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาก็ยังไม่ดีขึ้นเลย”