ร้านอาหารสุกี้ชาบู Hotpot Buffet โพสต์ข้อความมีดังนี้ Hotpot Buffet ขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่เข้ามาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทางร้านต้องขอปิดตำนาน Hotpot Buffet ไว้เพียงเท่านี้ ขอบคุณครับ
สาเหตุที่ความนิยมลดลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะผลประกอบที่สะท้อนให้เห็นถึงการขาดทุนสะสม ข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า บริษัท เจซีเค ฮอสพิทอลลิตี้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นเจ้าของร้าน Hotpot Buffet มีผลประกอบการในช่วงตั้งแต่ปี 2562 ถึง 2566 ดังนี้ ปี 2562 รายได้ 1,397 ล้านบาท ขาดทุน 158 ล้านบาท ปี 2563 รายได้ 701 ล้านบาท ขาดทุน 142 ล้านบาท ปี 2564 รายได้ 444 ล้านบาท ขาดทุน 340 ล้านบาท ปี 2565 รายได้ 544 ล้านบาท ขาดทุน 228 ล้านบาท และปี 2566 (งบ 9 เดือน) รายได้ 324 ล้านบาท ขาดทุน 66 ล้านบาท รวมขาดทุนสะสม 4 ปี 9 ติดต่อกัน 934 ล้านบาท
ผู้บริโภคคนไทยมีตัวเลือกมากมายในการแข่งขันร้านอาหารประเภทสุกี้ชาบู ส่งผลให้จากที่เคยมีสาขามากถึง 117 สาขาในไทย ต้องปิดสาขาลงอย่างต่อเนื่อง จรกระทั่งเหลือเพียง 4 สาขา ได้แก่ ในกรุงเทพฯ เหลืออยู่ที่ ซีคอน บางแค ส่วนอีก 3 สาขาอยู่ในต่างจังหวัด ประกอบด้วย เซ็นทรัล อุดรธานี, เซ็นทรัล อุบลราชธานี และ เดอะมอลล์ จังหวัดนครราชสีมา
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการแข่งขันมีความรุนแรงตลอดเวลาในตลาดร้านอาหารประเภทชาบู ร้านอาหารประเภทสุกี้ ชาบู ระดับกลางจะเน้นความคุ้มค่าและคุณภาพที่ยอมรับได้ มีการเปิดร้านขึ้นเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกที่หลากหลายมากขึ้น ต่อมาวิกฤตการณ์โรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อธุรกิจร้านอาหารอย่างกว้างขวาง สถานการณ์ระบาดที่ยืดเยื้อ จึงส่งผลต่อรายได้และต้นทุน ความนิยมของชาบูหม่าล่ามาอย่างรวดเร็ว ผู้บริโภคให้ความสนใจกับร้านหม่าล่าเปิดใหม่จำนวนมาก จากสถิติจะพบว่า มีการเปิดร้านเฉลี่ยวันละ 1 ร้าน และบริษัท ดาต้าเซ็ต เปิดเผยข้อมูลว่า มีการพูดถึงหม่าล่ามาก 315,561 ครั้งต่อวัน นอกจากนี้ กระแสบอกต่อ และบทวิจารณ์ ในยุคสื่อโซเชียลที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ย้อนกลับไปจุดกำเนิดของร้าน Hotpot Buffet นับตั้งแต่จุดเริ่มต้นครั้งแรกที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ใช้ชื่อว่า โคคาเฟรช สุกี้ มาจนในปี 2544 ทำการเปลี่ยนชื่อร้านเป็นฮอท พอท สุกี้ ชาบู เรสโตรองต์ จนมาถึงปี 2547 ได้ก่อตั้งบริษัท ฮอท พอท จำกัด และเปลี่ยนชื่อมาเป็นในปัจจุบันชื่อว่า บริษัท เจซีเค ฮอสพิทอลลีตี้ จำกัด (มหาชน) มาถึงเดือนตุลาคม 2547 บริษัทฯ ได้เพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 40 ล้านบาท รวมเป็น 56 ล้านบาท จากนั้นปี 2548 บริษัทฯ ได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ด้วยการรุกตลาดร้านอาหารประเภทสุกี้ด้วยการกระจายเข้าไปในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ชูกลยุทธ์บุฟเฟ่ต์อาหารนานาชาติที่เน้นอาหารประเภทสุกี้ ชาบูเป็นหลัก
ในเดือนพฤษภาคม 2548 ได้เปิดสาขาที่เซ็นทรัลพลาซ่า พระราม 2 เป็นแห่งแรกในรูปแบบร้านฮอท พอท อินเตอร์ บุฟเฟ่ต์ ส่งผลให้ธุรกิจของบริษัทฯ ประสบความสำเร็จ จนสามารถเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทได้อย่างดี ต่อมาบริษัทฯ ได้ตัดสินใจขยายธุรกิจไปในแนวบุฟเฟ่ต์แบบอิ่มได้ไม่อั้น และปรับมาเป็นแบบบุฟเฟ่ต์เกือบทั้งหมด จากนั้นทยอยไปเปิดในห้างตามจังหวัดต่างๆ ทั่วไทย
ในปี 2554 บริษัท ฮอท พอท จำกัด (มหาชน) เข้าซื้อกิจการไดโดมอน ร้านบุฟเฟต์ปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่น แล้วนำบริษัทฯ เข้าตลาดหลักทรัพย์ mai ในปี 2555 ร้าน Hotpot Buffet มีจำนวนสาขามากถึง 117 สาขา ทำรายได้ 1,908 ล้านบาท แต่มีผลกำไรเพียง 23 ล้านบาท