นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แสดงวิสัยทัศน์ในหัวข้อ Vision for Thailand กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยมีปัญหาและมีโอกาสจะตกต่ำลงอีก แม้ว่าอาจจะไม่ได้ลงไปลึก แต่ก็จำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโต และ แก้ไขปัญหาในหลายด้านที่ยังมีอยู่ โดยปัญหาของประเทศเรื่องแรก คือ คนไทยและประเทศไทยติดกับดักหนี้ โดยในแง่ของหนี้สินภาครัฐแก้ไม่ยากหากทำให้จีดีพีเติบโตได้ ขยายฐานภาษี สัดส่วนรายได้ต่อจีดีพีดีขึ้น แต่เรื่องหนี้ครัวเรือนตอนนี้สูงไปกว่า 90% แล้ว หนี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้บ้านและหนี้รถยนต์ จะเป็นไปได้หรือไม่หากเจรจากับธนาคารพาณิชย์ให้ข่วยปรับโครงสร้างหนี้ภาคประชาชน ขายหนี้ให้รัฐบาลในราคาที่พอมีกำไรบ้าง แล้วภาครัฐไปเก็บหนี้จากประชาชนช่วยลดหนี้ (แฮร์คัท) ให้ได้หรือไม่ ฝากการบ้านให้กับรัฐมนตรีคลัง อีกทั้งจะต้องประสานนโยบายเศรษฐกิจกับแบงก์ชาติ เพื่อให้นโยบายการเงินการคลังไปในทางเดียวกัน เคารพความเป็นอิสระแบงค์ชาติ แต่จะต้องไปทางเดียวกัน
“การปรับโครงสร้างหนี้ครัวเรือนและธุรกิจให้เดินต่อให้ได้ คงหนีไม่พ้น รัฐมนตรีคลัง ต้องไปคุยกับสมาคมธนาคารว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร เชื่อว่าแนวทางมี”
อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ผมสังเกตดู คนไทยไม่ยิ้มเหมือนเดิม หนี้สินเยอะ โอกาสทางเศรษฐกิจน้อยไป ไม่ค่อยยิ้มให้กัน ระหว่างอยู่ รพ.ตำรวจ วันไหนไม่ป่วยหนัก ดูข่าว ก็เห็นคนไทยพึ่งสายมูเตลูเยอะไปหน่อย สังคมไทยลูกติดยา แม่ติดหวย ดีไม่ดี พ่อติดเหล้าด้วย ผมนั่งรถผ่าน กทม. ผ่านหัวเมืองใหญ่ บ้านเมืองไม่ค่อยสะอาด การก่อสร้าง สถาปัตยกรรมน้อยไปหน่อย ไม่มีเซ้นท์ของความบ้านเมืองสะอาดเรียบร้อย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ต่างคนต่างอยู่ มุ่งหาความสำเร็จองค์กรตัวเองเป็นหลัก แต่ความเป็นชาติคิดเผื่อส่วนรวม มีส่วนช่วยอย่างไร อยากเห็นเจ้าภาพในการดูแล
สำหรับโครงการแจกเงิน 1 หมื่นบาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ตนั้นมองว่าเป็นการยิงนก 3 ตัวด้วยกระสุนนัดเดียว สิ่งแรกคือเราจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจที่โตช้ามานาน เพราะไม่มีเงินในระบบเพียงพอ ซึ่งดิจิทัลวอลเล็ตข้างหลังบ้านมีระบบบล็อกเชนเพื่อให้การกระตุ้นเศรษฐกิจมีความแม่นยำ เรื่องที่ 2 อยากให้คนไทยรากหญ้าเรียนรู้เทคโนโลยี และเรื่องที่ 3 เราจะได้ดิจิทัลไอดีได้ซุปเปอร์แอพใช้กับทุกบริการภาครัฐ ในอนาคตรัฐบาลก็สามารถออกพันธบัตรผ่านดิจิทัลวอลเล็ตได้
แต่เมื่อมีการค้านและมีข้อจำกัดในการใช้งบประมาณปี 67 ให้ทันภายในเดือน ก.ย. 67 ทางคณะกรรมการที่รับผิดชอบเล่าให้ฟังว่าจะใช้เงินงบประมาณก้อนแรก 1.45 แสนล้านบาทแจกเงินให้กับกลุ่มกลุ่มเปราะบางและคนพิการ 14.5 ล้านคนคนละ 10,000 ทันทีภายในเดือน ก.ย. จากนั้นเมื่องบประมาณปี 68 เริ่มใช้ได้ในเดือน ต.ค. 67 ก็จะสามารถแจกเงินให้กับผู้ที่ลงทะเบียนไว้ 30 ล้านคนได้ ซึ่งหากระบบเสร็จทันก็จะแจกผ่านดิจิทัลวอลเล็ต เพื่อให้การกระตุ้นเศรษฐกิจมีความแม่นยำ