อินโฟมา คอนเน็คท์ อะคาเดมี เปิดเผยว่า นายอีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอทั้ง 3 บริษัท ได้แก่ เทสลา สเปซเอ็กซ์ และเอ็กซ์ จะมีความร่ำรวยส่วนตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับ 13 หลักดอลลาร์สหรัฐ หรือระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2027 หรือในอีก 3 ปีจากนี้ไป ส่งผลให้กลายเป็นคนอเมริกันคนแรกในประวัติศาสตร์ที่มีมูลค่าความมั่งคั่งถึงระดับ Trillionaire หรือทริลเลียนแนร์ หรือเมกะเศรษฐี
ฟอร์บส์จัดอันดับเศรษฐีทั่วโลก พบว่า ในปัจจุบัน นายอีลอน มัสก์ มีความมั่งคั่งอยู่ที่ 241,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 8.22 ล้านล้านบาท ซึ่งกลายเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลก และในสหรัฐอเมริกา แต่มูลค่าความร่ำรวยดังกล่าวของนายอีลอน มัสก์ ได้รับการคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี จากนี้ไปถึงปี 2027 เนื่องจากโดยเฉลี่ยแล้วความร่ำรวยของนายอีลอน มัสก์ จะเพิ่มขึ้น เกือบ 110% ในแต่ละปี
ในปี 2012 นับเป็นปีแรก ที่นายอีลอน มัสก์ มีความร่ำรวยจากธุรกิจในกลุ่มประเภทเทคโนโลยีเทคโนโลยี จนได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาเศรษฐี หรือบิลเลียนแนร์ และนับจากนี้ปีนั้นเป็นต้นมาถึงปัจจุบัน มูลค่าความมั่งคั่งของนายอีลอน มัสก์ เติบโตและขยายมากขึ้นเมื่อเทียบกับเศรษฐี และมหาเศรษฐีระดับโลกคนอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม มหาเศรษฐีระดับโลกคนอื่นๆที่มีความร่ำรวยตามหลังนายอีลอน มัสก์ ก็มีโอกาส ที่จะมีความร่ำรวยถึงขั้นระดับเมกกะเศรษฐี หรือทริลเลียนแนร์ ได้แก่ นายกัวทาม อาดานี ประธานกลุ่มบริษัทอาดานี กรุ๊ป นายเจนเส็น หวง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอบริษัทเอ็นวีเดีย และนายพราโจโก แพงเกจสุ ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัทบาร์ติโอ แปซิฟิก โดยแต่ละคนมีโอกาสที่จะมีความร่ำรวยถึงระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2028 ซึ่งช้ากว่านายอีลอน มัสก์ ไปอีกหนึ่งปี เนื่องจากมหาเศรษฐีทั้ง 3 คนนี้ มีความร่ำรวยเติบโตขึ้นเฉลี่ยปีละกว่า 100% ขึ้นไป ในขณะที่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารหรือซีอีโอ กลุ่มบริษัทแอลวีเอ็มเอช นายเบอร์นาร์ด อาโนลท์ ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์เนมหรูหราหลายยี่ห้อชื่อดังจากฝรั่งเศส จะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 2 ปีต่อจากมหาเศรษฐีทั้ง 3 คนดังกล่าวจึงจะได้ขึ้นท่านระดับเมกกะเศรษฐี หรือทริลเลียนแนร์
ทั้งนี้ รายงานดังกล่าว ยังเปิดเผยว่า บริษัทที่จะมีมูลค่าแตะระดับอย่างน้อย 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป หรือมากกว่า 34 ล้านล้านบาทนั้น อันดับ 1 คือ บริษัท ไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง หรือ TSM ซึ่งจะขึ้นบริษัทที่มีขนาดดังกล่าวภายในปี 2025 ตามด้วย เอลิ ลิลลี่ (Eli Lilly) บรอดคอม (Broadcom) และเทสลา (Tesla)