ตลท.ชี้ดัชนีหุ้นไทยฟื้นช้า ปัจจัยบวกทั้งในและนอกประเทศหนุน ความชัดเจนการเมือง เศรษฐกิจ ดึงความเชื่อมั่น

ตลท.ชี้ดัชนี หุ้นไทย ฟื้นช้า ปัจจัยบวกทั้งในและนอกประเทศหนุน ความชัดเจนการเมือง เศรษฐกิจ ดึงความเชื่อมั่น

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ภาพตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ ความคาดหวังที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ถือว่าเกิดขึ้นได้หมดแล้ว เห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย รวมถึงดัชนีหุ้นไทย แต่การฟื้นตัวของเราช้ากว่าคนอื่น จึงเห็นการปรับตัวขึ้นที่คงที่มาก เทียบกับตลาดหุ้นอื่นที่เคลื่อนไหวขึ้นๆ ลง โดยคาดทิศทางเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ช่วงที่เหลือของปี 2567 นี้ จะไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนทั้งการปรับขึ้นของตลาดหุ้นไทย กำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไทย ที่มาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย รวมถึงปัญหาความไม่แน่นอนการเมืองในช่วงที่ผ่านมามีชัดเจนมากขึ้นและเริ่มอยู่ในทิศทางที่ดี แต่ความไม่แน่นอนในอนาคตก็ยังพอมีอยู่ จึงต้องติดตามสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิดต่อไป

ด้านนายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลท. เปิดเผยว่า ขณะนี้มีปัจจัยต่างประเทศที่เอื้อต่อการเติบโตของดัชนีหุ้นไทย รวมถึงปัจจัยภายในประเทศ ที่เป็นแรงบวกส่งเสริมความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน อาทิ การเมืองไทยที่มีความชัดเจนมากขึ้นหลังมีการเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่รายงานออกมาเข้มแข็งกว่าที่นักวิเคราะห์คาด รวมถึงผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไทย ในไตรมาส 2/2567 ที่แข็งแกร่ง โดยในช่วง 10 วันแรกของเดือนกันยายน พบว่านักลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาในตลาดหุ้นแล้วกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนได้ถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่กลับมามากขึ้น ส่วนในช่วง 4 เดือนที่เหลือของปีนี้ คาดว่ามีโอกาสที่เม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) จะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยเป็นบวกอย่างต่อเนื่อง เพราะมีปัจจัยหนุนจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง กำไรบจ.ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น รวมถึงทิศทางค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ

นอกจากนี้ บจ.ไทยหันมาใช้การซื้อหุ้นคืนเป็นเครื่องมือในการบริหารสภาพคล่องของบริษัทอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์ว่าจะมีสภาพคล่องไหลเข้าตลาดหุ้นไทยเพิ่มในช่วงที่เหลือของปี หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบการปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทยในกองทุนไทยอีเอสจี และความชัดเจนในการออกขายกองทุนวายุภักษ์ 1 ที่มีการรับประกันผลตอบแทนขั้นต่ำ ซึ่งจะดึงดูดความสนใจผู้ลงทุนและสามารถช่วยส่งเสริมความเชื่อมั่นโดยรวมในตลาดทุน จึงเห็นมูลค่าการซื้อขายในวันประกาศรายละเอียดกองทุน กว่า 1 แสนล้านบาท และวันถัดมาก็ยังอยู่ที่ระดับ 8 หมื่นล้านบาท ขณะเดียวกันการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ทยอยไต่ระดับอย่างต่อเนื่อง ไตรมาส 1/2567 ขยายตัว 1.6% ไตรมาส 2/2567 ขยายตัว 2.3% ทั้งปี 2567 คาดว่าน่าจะอยู่ใกล้ 2.7% ได้ หรืออาจสูงกว่านั้น

ส่วนภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2567 ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 1,359.07 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 2.9% จากเดือนกรกฎาคม สอดคล้องกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาค ทำให้เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 หุ้นไทยปรับลดลงเหลือเพียง 4% กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และ กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai ปรับมาอยู่ที่ 46,028 ล้านบาท ลดลง 21.4% จากช่วงเดียวกันปี 2566 แต่ปรับเพิ่มขั้น 21.1% จากเดือนที่แล้ว ทำให้ 8 เดือนแรกของปี 2567 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน อยู่ที่ 44,404 ล้านบาท ลดลง 22.2% อัตราเงินปันผลตอบแทน อยู่ที่ระดับ 3.50% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชีย ที่อยู่

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles