ตลาดซื้อขายสกุลเงินต่างประเทศในตลาดต่างประเทศบนระบบอิเล็กทรอนิคส์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า วันที่ 28 กันยายน 2024 เงินบาทเทียบเงินดอลลาร์สหรัฐเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 32.32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้น 9 สตางค์ต่อดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเงินบาทปิดตลาดภายในประเทศไทยเมื่อวันศุกร์ที่ 27 กันยายนผ่านไป ส่งผลให้ค่าเงินบาทดังกล่าวทำสถิติแข็งค่าสุดครั้งใหม่ในรอบ 31 เดือนกว่า หรือนับตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2022 เป็นต้นมา นอกจากนี้ หากเทียบกับค่าเงินบาทเมื่อวันเสาร์ที่ 21 กันยายน หรือครบ 7 วันผ่านมา พบว่าค่าเงินบาทพุ่งแข็งค่าขึ้น 55 สตางค์ต่อดอลลาร์สหรัฐ หรือแข็งค่าขึ้น 1.67% ภายในสัปดาห์เดียว
ดังนั้น ผลตอบแทนค่าเงินบาทเทียบเงินดอลลาร์สหรัฐในช่วงที่ผ่านมาแต่ละระยะเวลามาถึงวันนี้ 29 กันยายน 2024 เมื่อเวลา 8.45 น. มีดังนี้ ใน 1 สัปดาห์แข็งค่า 2.38% ใน 1 เดือนแข็งค่า 4.83% ใน 3 เดือนแข็งค่า 12.49% ใน 6 เดือนแข็งค่า 10.96 % ใน 12 เดือนแข็งค่า 11.28% และตั้งแต่ต้นปีนี้มาถึงวันนี้แข็งค่า 5.66% ขณะที่เมื่อวันศุกร์ที่ 27 กันยายนผ่านมา ห้องค้ากสิกรไทย รายงานว่า เงินบาทแข็งค่าสุดในรอบ 31 เดือน นับตั้งแต่เดือน ก.พ. 2565 และยังมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่องในช่วงนี้ โดยแนวรับสำคัญที่ 32.10 บาทต่อดอลลาร์
สาเหตุจากเมื่อวันศุกร์ที่ 20 กันยายนผ่านมา ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยใน นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ได้กล่าวเกี่ยวกับมุมมองเรื่องภาวะอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยว่า ไม่ใช่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดลดดอกเบี้ยแล้ว เราต้องลดตาม มีปัจจัยอื่นที่ต้องพิจารณาประกอบ การตัดสินนโยบายการเงินขึ้นอยู่กับแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า (Outlook dependent) นอกจากนี้ ความผันผวนมาจากราคาทอง เนื่องจากเงินบาทมีความสัมพันธ์กับทองมากกว่าเงินสกุลอื่น อย่างไรก็ตาม การที่เงินบาทผันผวนจากปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจจัยพื้นฐาน เช่น Hot money การที่นักลงทุนนำสกุลเงินต่างประเทศมาแลกเป็นเงินบาทเพื่อหวังผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งทำให้การเคลื่อนไหวของเงินบาทไม่สะท้อนพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ธปท. ยังไม่เห็นความเสี่ยงจากการเก็งกำไร
ขณะที่เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2024 ตลาดซื้อขายสกุลเงินต่างประเทศในเอเชียที่ญี่ปุ่น รายงานว่า สิ้นสุดไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านไป ค่าเงินบาทเทียบเงินดอลล่าร์สหรัฐพุ่งทะยานแข็งค่าถึง 10% ส่งผลทำสถิติค่าเงินบาทรายไตรมาสที่แข็งค่ามากที่สุดในรอบ 26 ปีหรือนับตั้งแต่สิ้นสุดไตรมาสที่หนึ่งปี 1998 เป็นต้นมา หรือนับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งของประเทศไทย
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ท่ามกลางค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐที่ทะยานแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเกิดขึ้นก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาจะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยถึง 0.5% เมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมานั้น แต่ผลพวงจากค่าเงินบาทที่ปรับแข็งค่าขึ้นมากกว่าสกุลเงินของประเทศคู่ค้าในภูมิภาคนี้ส่งผลให้ผู้ซื้อสินค้าจากต่างประเทศพร้อมที่จะเปลี่ยนไปซื้อสินค้าจากประเทศคู่ค้าที่มีค่าเงินไม่แข็งค่าเร็วและแรงเกินไป
ด้านสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ถึงแม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยมีจำนวนสะสมมากขึ้นก็ตาม แต่ในที่สุดนักท่องเที่ยวต่างชาติจะควบคุมค่าใช้จ่าย สาเหตุจากค่าเงินบาทที่ทะยานแข็งค่าขึ้นสูงต่อเนื่อง โดยเฉพาะการใช้จ่ายช้อปปิ้งและใช้จ่ายตามโรงแรมต่างๆ
สำนักวิจัย บลูมเบิร์ก อินเทลลิเจนซ์ เปิดเผยว่า ค่าดัชนีความผันผวนเงินบาทเฉลี่ย 3 เดือน เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ อยู่ที่ระดับ 9.14% ส่งผลทำสถิติเกือบสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคมปีนี้ หรือในรอบเกือบ 9 เดือนผ่านมา ที่สำคัญค่าเฉลี่ยดังกล่าวสูงกว่า ค่าเฉลี่ยตลอดของปีนี้ที่ระดับ 7.96%
ในไตรมาสที่ 2 ปีนี้ พบว่านักลงทุนต่างประเทศได้เคลื่อนย้ายเงินทุนเป็นจำนวนมากถึง 2,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 88,400 ล้านบาท เข้าลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ และตลาดตราสารหนี้ในประเทศไทย
ก่อนหน้านี้ ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงิน เปิดเผยรายงานความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ทั่วโลก พบว่า ในช่วงระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมถึง 12 กันยายน 2024 ค่าเงินบาทเทียบเงินดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็นสกุลเงินที่ทะยานแข็งค่าขึ้นถึง 6.1% มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของ 8 สกุลเงินในประเทศเกิดใหม่ที่ปรับแข็งค่าขึ้น นอกจากนี้ ค่าเงินบาทยังแข็งค่าขึ้นมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในทุกสกุลเงินของประเทศสมาชิกกลุ่มอาเซียนในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย ในขณะที่ มี 3 สกุลเงินในประเทศใหม่ที่ปรับอ่อนค่าลง ได้แก่ เงินเปโซเม็กซิโก ร่วงอ่อนค่ามากที่สุดถึง -3.2% ถัดมาเป็นสกุลไลร่า ประเทศตุรกี อ่อนค่าราว -2.2% และสุดท้ายค่าเงินรูปีประเทศอินเดียอ่อนค่าราว -0.1%
สำหรับสกุลเงินในประเทศเกิดใหม่เทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่ปรับแข็งค่าขึ้นในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ 1 สิงหาคมถึงวันที่ 12 กันยายนที่ผ่านมามีดังนี้ 1.บาท ไทย 6.2% 2.รูเปี๊ยะ อินโดนีเซีย 5.2% 3.ริงกิต มาเลเซีย 5.1% 4.เปโซ ฟิลิปปินส์ 3.8% 5.แรนด์ แอฟริกาใต้ 2.9% 6.ด่อง เวียดนาม 2.7% 7.วอน เกาหลีใต้ 2.6% และ 8.เรียล บราซิล