นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงการคลัง มีความต้องการให้นโยบายการเงินและนโยบายการคลังทำงานได้สอดประสานกัน เพื่อผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อปี 2568 ขยับขึ้นสู่ระดับ 2% และช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยว่า ทั้งกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้าใจตรงกันว่าที่ผ่านมานโยบายการคลังเร่งทำงานอย่างเต็มที่มาโดยตลอด ซึ่งส่งผลต่อสัดส่วนหนี้สาธารณะ และการจัดการด้านการคลังในอนาคตดังนั้นนโยบายด้านการคลังอาจจะต้องกลับมาทำงานในระดับปกติ หรือกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างอ่อน ๆ เท่านั้น เนื่องจากขนาดการคลังมีข้อจำกัด แม้จะมีการใช้เครื่องมือกึ่งการคลัง แต่ก็มองว่าในระยะข้างหน้าก็ต้องลดลง เพราะมีผลต่อภาระการคลังที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้ นโยบายการเงินจะต้องรับไปดูว่าจะมีส่วนช่วยในการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน และการใช้จ่ายภาครัวเรือนภายใต้เครื่องมือที่มีอยู่อย่างไร ดังนั้นวิธีการใช้เครื่องมือทางการเงิน จึงอยู่ที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
“ผลกับเศรษฐกิจจากนโยบายการเงินและการคลัง มีความเร็วที่แตกต่างกัน โดยผลจากนโยบายการคลังจะเร็วกว่า แต่ก็จะมีผลอยู่ได้ในระยะหนึ่งเท่านั้น ขณะที่นโยบายด้านการเงินจะใช้เวลาราว 6-8 ไตรมาส ที่จะส่งผ่านผลของมาตรการผ่านเครื่องมือต่างๆ ไปสู่ระบบเศรษฐกิจ เช่น การลดอัตราดอกเบี้ย เมื่อเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจก็คาดว่าจะใช้เวลาพอสมควร ราว 1 ปีครึ่ง แต่ผลจะค่อยๆ ซึมเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเรื่อยๆ และจะเต็มศักยภาพในไตรมาส 1 ปี 69”
ขณะที่นโยบายด้านการคลัง ตามแผนการคลังระยะปานกลาง ได้กำหนดการขาดดุลงบประมาณลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในปีงบประมาณ 2568 ตั้งงบประมาณรายจ่ายที่ 3.752 ล้านล้านบาท ขาดดุลอยู่ที่ 4.5% ต่อ GDP ขณะที่ปัจจุบันหนี้สาธารณะ อยู่ที่ 65-66% ต่อ GDP ซึ่งในส่วนนี้จะต้องมีการทบทวนอีกครั้ง หลังจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ รายงานภาวะเศรษฐกิจไตรมาส 3 ในเดือน พ.ย. นี้ เพื่อจะนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป ส่วนปี 2569 ได้ตั้งเป้าหมายขาดดุลอยู่ที่ 3.5% ต่อ GDP
“ธปท. มีหน้าที่ในการดำเนินการ และดูแลนโยบายการเงิน ความมั่นคงของสถาบันการเงิน แต่ก็ต้องคำนึงถึงนโยบายของรัฐบาลด้วย หากนโยบายการเงินและนโยบายการคลังสามารถทำงานร่วมกันได้ ผลที่ออกมาน่าจะเป็นสิ่งที่ดี ซึ่งหลังจากหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงคลังและ ธปท. ในช่วงที่ผ่านมา ก็เห็นตรงกันว่าจุดมุ่งหมายสำคัญ คือทำให้เศรษฐกิจขยายตัวในระดับเหมาะสม โดยกระทรวงการคลังจะนำเสนอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปี และมาตรการของขวัญปีใหม่ ในการประชุมส่วนราชการวันที่ 4 พ.ย. นี้”
การคงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 67 ไว้เท่าเดิมที่ 2.7% นั้น หากไม่มีปัญหาอุทกภัยในหลายจังหวัดเข้ามา ก็มีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวได้มากกว่า 2.7% จากอานิสงส์ของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้กระทรวงการคลังได้ประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาคเกษตร อุตสาหกรรม และภาคการท่องเที่ยว ซึ่งอยู่ระหว่างการรวบรวมตัวเลขความเสียหายจากน้ำท่วม โดยเบื้องต้นประเมินว่าอยู่ที่ราว 4,000 ล้านบาท