นายสวาท ธีระรัตนนุกูลชัย รองประธานกรรมการหอการค้าไทยและประธานหอการค้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปิดเผยว่า เศรษฐกิจโดยรวมของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ( อีสาน )ในปี 2567 ถือว่าขยายตัวในระดับที่ดี โดยช่วงครึ่งปีแรก 2567(มกราคม-มิถุนายน) จีดีพีภาคอีสานขยายตัว 3.1% สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ทั้งปีที่ 3% ซึ่งครึ่งหลังของปีปัจจัยส่งเสริมเศรษฐกิจภาคอีสานยังดี โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ที่เกี่ยวกับเชิงศรัทธาและสายมู สร้างแรงจูงใจให้คนไทยและต่างชาติที่นิยมกระแสสายมู เดินทางมาไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์และท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ กันอย่างแน่นหนา ซึ่งหลายแหล่งตั้งอยู่ในจังหวัดรอง อย่าง จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดนครพนม หรือ การโปรโมทแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติใหม่ ในจังหวัดหนองบัวลำภู หรือ จังหวัดอำนาจเจริญ
ขณะที่ภาคการค้าการบริการ โดยเฉพาะการค้าชายแดนไปลาวและผ่านแดนไปถึงจีน ขยายตัวเป็นบวก เนื่องจากสินค้าไทยยังเป็นที่ต้องการ ด้วยคุณภาพและการส่งมอบที่ตรงเวลา ประกอบกับจังหวัดในภาคอีสานประสบภัยน้ำท่วมแล้วฟื้นตัวได้เร็ว ฉะนั้นจึงคาดว่าทั้งปี 2567 เศรษฐกิจภาคอีสานจะขยายตัวได้ถึง 4% สูงกว่าที่คาดการณ์เดิมไว้ที่ 3% และขนาดเศรษฐกิจเกิน 1 ล้านล้านบาทแล้ว
“เศรษฐกิจอีสานโตได้ดี ยังไม่รวมกับมาตรการแจกเงิน 10,000 บาทของรัฐ ซึ่งทางหอการค้ากำลังสำรวจว่ามาตรการนั้นมีผลต่อกระตุ้นเศรษฐกิจแค่ไหน แต่เบื้องต้นดูเหมือนสายลมพัดผ่าน เป็นแค่จุดประกายให้รัฐต้องเพิ่มมาตรการเสริม ซึ่งหอการค้าเคยเสนอไว้ คือ มาตรการในลักษณะคูณสอง หรือ คนละครึ่ง จะเป็นแรงกระตุ้นได้มากกว่านี้” นายสวาท กล่าว
ส่วน ในปี 2568 หอการค้าอีสาน จะผลักดัน เสนอรัฐและเอกชน ร่วมมือในการยกระดับรายได้ภาคเกษตร เร่งพัฒนาแหล่งน้ำ และใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐาน ที่ภาคอีสานได้มีการลงทุนและเชื่อมโยงเป็นเหมือนใยแมงมุม ทั้งนี้ หอการค้าภาคอีสาน ได้มีการรวบรวมข้อเสนอถึงรัฐบาลแล้ว อีกทั้งเสนอให้รัฐบาล เจรจาปลดล็อกและเพิ่มความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง เพื่อให้สมาชิกทั้งไทย ลาว เมียนมา กัมพูชา ยกเรื่องการขยายตัวทางเศรษฐกิจรวมกัน นำเรื่องไม่แค่มุ่งเรื่องความมั่นคงและยาเสพติด หรือ การจับมือรวมเปิดตลาดประเทศที่สาม เช่น ปลดล็อกระเบียนหนังสือเดินทาง เช่น นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาด้วยรถไฟไทย-ลาว มาต่อที่ไทยแล้ว สามารถขึ้นเครื่องบินจากไทยกลับจีนได้เลย เป็นต้น รวมถึงพิจารณาเปิดด่านชายแดนใหม่ และขยายเวลาปิดด่าน เป็นต้น