ตลาดซื้อขายน้ำมันดิบ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า วันที่ 11 พฤศจิกายน 2024 ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 68.12 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +0.08 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +0.1% ส่งผลหยุดราคาปิดร่วงลง 2 วันติดกันรวม -4.32 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -6.02% ขณะที่เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ทำสถิติราคาดำดิ่งรายวันที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 2 ปี 3 เดือน หรือตั้งแต่ 12 กรกฎาคม 2022 เป็นต้นมา ซึ่งในวันดังกล่าวมีราคาดำดิ่งเหวมากถึง -7.93% ส่งผลมีราคาปิดต่ำสุดในรอบ 28 วัน หรือตั้งแต่ 1 ตุลาคมเป็นต้นมา
ด้านราคาน้ำมันดิบ เบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 71.89 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +0.06 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +0.1% ส่งผลหยุดราคาปิดร่วงลง 2 วันติดกันรวม -3.80 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -5.06%
สาเหตุจากกลุ่มโอเปกพลัสปรับลดตัวเลขคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันดิบทั่วโลกในปี 2024 และปี 2025 ครั้งใหม่ ซึ่งนับเป็นการปรับลดตัวเลขดังกล่าวเป็นครั้งที่ 4 ต่อเนื่อง สำหรับในปีนี้ ความต้องการใช้น้ำมันดิบทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.82 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ปรับลดลงจากเดิมที่ระดับ 1.93 ล้านบาร์เรลต่อวัน สอดคล้องกับความต้องการใช้น้ำมันดิบทั่วโลกในปี 2025 จะเพิ่มขึ้นเพียง 1.54 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ปรับลดลงจากเดิมที่ระดับ 1.64 ล้านบาร์เรลต่อวัน
สาเหตุจากความต้องการใช้น้ำมันดิบของประเทศจีนมีแนวโน้มลดลงจากภาวะเศรษฐกิจจีนที่ซบเซาต่อเนื่องไปในปี 2025 ส่งผลกลุ่มโอเปกพลัสปรับลดตัวเลขคาดการณ์ใช้น้ำมันดิบของจีนจากเดิมจะเพิ่มขึ้นวันละ 580,000 บาร์เรล ลงมาอยู่ที่เพิ่มขึ้นเพียงวันละ 480,000 บาร์เรล หรือลดลง 100,000 บาร์เรลต่อวัน ก่อนหน้านี้ กลุ่มโอเปกพลัสส่งสัญญาณใหม่เกี่ยวกับการชะลอปรับขึ้นกำลังการผลิตของทั้งกลุ่มในเดือนธันวาคมนี้
เศรษฐกิจจีนไม่มีสัญญาณที่ดีในการฟื้นตัว หรือแม้แต่สัญญาณบวกทางจิตวิทยากับการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนครั้งใหญ่ ภาวะเงินเฟ้อเดือนตุลาคมในจีนเพิ่มขึ้นแต่น้อยที่สุดในรอบ 4 เดือนผ่านมา สะท้อนภาวะแรงกดดันต่อสถานการณ์เงินฝืดเคืองในจีน ขณะเดียวกัน มาตราการแก้ไขหนี้สาธารณะของรัฐบาลในแต่ละมณฑลของจีนที่รัฐบาลกลางจีนประกาศทุ่มเงินถึง 10 ล้านล้านหยวน หรือ 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 49 ล้านล้านบาทกลับถูกมองว่าไม่เพียงพอต่อการจัดการปัญหาหนี้ดังกล่าวได้ นอกจากนี้ การนำเข้าน้ำมันดิบของจีนในเดือนตุลาคมกลับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน
ทั้งนี้ ผู้ค้าน้ำมันทุกรายในประเทศไทยปรับราคาขายน้ำมันมีผลวันที่ 7 พฤศจิกายนนี้ โดยขึ้นราคากลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ +40 สตางค์/ลิตร นับเป็นการขึ้นราคาน้ำมันครั้งที่ 2 ติดต่อกันในรอบ 3 วันผ่านมารวมขึ้น 70 สตางค์/ลิตร ส่งผลให้เป็นราคาน้ำมันที่สูงสุดในรอบเฉียด 1 เดือน หรือตั้งแต่ 12 ตุลาคมผ่านมา