ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2024 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 42,342 จุด +15 จุด หรือ +0.04% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 5,867 จุด -5 จุด หรือ -0.09% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 19,372 จุด -19 จุด หรือ -0.10% ส่งผลหยุดดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดลดลง 10 วันทำการติดกัน ซึ่งทำสถิติดัชนีหุ้นดาวโจนส์ดำดิ่งติดต่อกันยาวนานที่สุดในรอบ 50 ปี หรือตั้งแต่ปี 1974 เป็นต้นมา เมื่อวันอังคารที่ผ่านไป ทำสถิติดัชนีหุ้นดาวโจนส์ดำดิ่งติดต่อกันยาวนานที่สุดในรอบ 46 ปี หรือตั้งแต่ปี 1978 ที่สำคัญ ยังทำสถิติดัชนีดำดิ่งมากสุดใน 1 วัน ในรอบ 3 เดือนกว่า หรือนับตั้งแต่สิงหาคมปีนี้ และทำสถิติดัชนีหุ้นทรุดมากถึง 1,000 วันใน 1 วัน เป็นครั้งที่ 2 ในปีนี้ด้วย สอดรับกับดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดหลุดระดับ 6,000 จุด และ 20,000 จุดครั้งใหม่
ในสัปดาห์ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดเพิ่มขึ้น -1.8%, -0.6% และ +0.3% ตามลำดับ ในเดือนพฤศจิกายนดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดเพิ่มขึ้น +7.5%, +5.0% และ +6.0% ตามลำดับ ส่งผลให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ และดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ทำสถิติรายเดือนที่ดีที่สุดตั้งแต่ต้นปี 2024 นี้
สาเหตุจากอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ สหรัฐฯในไตรมาสที่สามออกมาที่ระดับ 3.1% ซึ่งสูงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 2.9% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา สอดรับกับตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภคชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจที่มีมูลค่า 29.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ พบว่า เพิ่มสูงขึ้นถึงระดับ 3.7% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มสูงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงมีความผิดหวัง และเกิดความกังวลอย่างมากมายหลังจากธนาคารสหรัฐอเมริกามีมติลดดอกเบี้ยระยะสั้นลงตามคาด 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 4.25-4.50% แต่มีมติไม่เป็นเอกฉันท์ด้วยคะแนนเสียง 11 ต่อ 1 เสียง ซึ่ง 1 เสียงนั้น ลงมติให้ตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม นอกจากนี้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด นายเจอโรม พาวเวลล์ แถลงว่าเฟดต้องการเห็นความคืบหน้าของอัตราเงินเฟ้อสหรัฐที่จะต้องปรับลดลงเข้าสู่เป้าหมาย อย่างไรก็ตาม เฟดจะพิจารณาด้วยความระมัดระวังในการผ่อนคลายดอกเบี้ยระยะสั้นในปี 2025